E-book สวรรค์รำลึก

รำลึกศึกษา

ศึกษาประวัติของหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในอดีต

ร้านหนังสือสวรรค์รำลึก

เยี่ยมชมเรา

สื่อมงคลสำนักปู่สวรรค์

สิ่งดีที่ฝากไว้ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ความรู้ทางวิญญาณ จากการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ภาพยนต์รำลึก

ชมภาพยนต์ประวัติศาสตร์และสื่อเพื่อการศึกษาค้นคว้า

พักกาย สบายจิต ด้วยการสวดมนต์

สวดมนต์อาคารอริยสัจสี่

พักกาย สบายจิต ด้วยการสวดมนต์

โดย ศ.สวรรค์รำลึก

          เป็นที่ประจักษ์กันแล้วว่า สังคมของเราในยุคคอมพิวเตอร์นี้ช่างมีความซับซ้อน สับสน วุ่นวาย ยื้อแย่งแข่งขันกันสูงมากเสียเหลือเกิน แม้เราจะเห็นว่าเทคโนโลยีของโลกกำลังก้าวล้ำไปข้างหน้า แต่ศีลธรรมจรรยาของผู้คนกลับถอยหลังไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากปัญหาสังคมที่มารุมเร้า เราทุกคนไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กๆก็ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาสังคม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดในอารมณ์และพาลไปสู่ความเครียดในร่างกายและลากเราไปสู่ความเจ็บป่วยอื่นๆตามมาอีกมากมาย ถ้าปล่อยไว้ไม่ดีแน่ วันนี้บทความสวรรค์รำลึกนำเรื่องเล็กๆที่มีคุณมหาศาลมาแบ่งปันกันเพื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกๆท่านครับ

          สวดมนต์ทางเลือกของการผ่อนคลาย

          เป็นเวลาพันปีมาแล้วนับแต่มนุษย์เราเริ่มรู้จักการนับถือศาสนา การสวดมนต์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมา

กับศาสนิกชนทุกศาสนา คนไทยเรารู้จักการไหว้พระสวดมนต์ จากคำสอนของพระสงฆ์และผู้ใหญ่ที่ทรงภูมิ ในสมัยก่อนวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่มีความเกี่ยวพันกับการสวดมนต์มาช้านาน เรียกได้ว่าตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน ไม่ว่าจะเป็นการไปฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ การสวดมนต์ขอพรพระในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การสวดพระปริตรเพื่อขอประทานความสวัสดี การสวดมนต์ก่อนเข้านอน  แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปชีวิตเราก้าวสู่สังคมเมืองที่เร่งรีบ ชีวิตเต็มไปด้วยความเครียด กิจกรรมการสวดมนต์จึงกลายเป็นกิจกรรมที่ล้าสมัย ครึ และคนรุ่นใหม่เขินอายที่จะปฏิบัติกิจอันเป็นมงคลนี้ แต่เมื่อความทุกข์ถาโถมมาถึงทางตัน การสวดมนต์ยังเป็นกุญแจดอกสำคัญที่คนเราจะเลือกใช้เพื่อจะไขประตูปัญหาชีวิตนี้ได้

          จากการศึกษาของนักวิจัยหลายท่านทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบตรงกันว่าการสวดมนต์ภาวนานั้นให้ผลดีต่อตัวผู้สวดและคนที่เราส่งจิตไปถึง ในแง่ของการให้ผลดีต่อผู้สวดนั้น รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรีหัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆสม่ำเสมอประมาณ ๑๕นาทีขึ้นไปจะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด
บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น ซึ่ง มีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือดและเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนินซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาทเซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทานทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีนมีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน
นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆเช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือดทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซินซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำและซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลงส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่งและไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น..”

                รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์       ให้ข้อสรุปถึงประโยชน์ของการสวดมนต์ไว้เช่นกันดังนี้

๑.การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ
๒.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

หนังสือสวดมนต์

          เราจะเริ่มต้นสวดมนต์อย่างไรดี

การสวดมนต์เป็นกิจกรรมที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ไม่ลึกลับหรือเป็นพิธีกรรมอันน่าพิศวงแต่อย่างใด เพียงแต่ท่านผู้ที่ตั้งใจจะเข้ามาค้นหาวิธีการอันสงบนี้จะต้องรู้จักจัดเวลาซักเล็กน้อยเพื่อตัวเองครับ

๑.เมื่อเริ่มหัดใหม่ๆควรหาบทสวดมนต์ง่ายๆที่ไม่ยาวมากนัก สักสองสามบท หรือเป็นชุดสั้นๆ เช่น บทอิติปิโส พาหุง มหากา ชินปัญชร ก็หาได้จากหนังสือสวดมนต์ทั่วไปครับ

๒.จัดเวลาที่จะฝึกฝน อาจเป็นเวลาก่อนนอน หรือตอนเช้ามืด ให้เวลากับตัวเองสักพัก หามุมสงบของบ้าน ถ้ามีห้องพระก็ไปห้องพระ นั่งลงในท่าสบาย ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง วางธุระลงสักพัก เริ่มสวดมนต์ตามบทสวดที่ได้เลือกไว้ สวดตามหนังสือไปเรื่อยๆ ช้าๆจนจบ แรกๆจะรู้สึกขัดๆและวอกแวกนิดหน่อย เมื่อชำนาญแล้วอาการนี้จะหายไปเอง

๓.สวดมนต์จบแล้วหลับตาทำสมาธิสักครู่ ไม่มีเวลาก็สัก ๕ นาที คลายจากสมาธิแล้วค่อยแผ่เมตตา ก็ครบกระบวนการฝึกสวดมนต์ ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะครบถ้วนทั้งสวดมนต์ ทำสมาธิ อธิษฐานจิต เราเริ่มแต่น้อยเมื่อเราแข็งแกร่งชำนาญมากขึ้นค่อยเพิ่มปริมาณเวลาการสวด บทสวด และการนั่งสมาธิ ให้มากขึ้น

          จะเห็นได้ว่าการสวดมนต์เป็นความหลักแหลมของปรัชญาชนยุคก่อนที่ได้สืบทอดมาสู่ยุคเรา การสวดมนต์ไม่ได้มีแต่เพียงมิติของการลดความเครียดหรือเพื่อสุขภาพแต่เพียงอย่างเดียว เพราะมนุษย์เรานั้นเรื่องของจิตเป็นพลังพิเศษที่ธรรมชาติให้เรามาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ถูกสภาพแวดล้อมของกิเลสบดบังจนไม่สามารถนำพลังอันนั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การสวดมนต์ภาวนานั้นเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยดึงพลังพิเศษนี้ในตัวเราออกมามาใช้ประโยชน์ได้ และประการสำคัญในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้การสวดมนต์ยังเป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียด ลดภาวะป่วยไข้  ปรับระดับจิตใจให้เข้มแข็งพร้อมที่จะสู้ชีวิตในวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เสียสตางค์

          เว็บไซต์สวรรค์รำลึกขอเชิญชวนให้ผู้อ่านทุกท่านจัดเวลาสงบของชีวิตในแต่ละวัน ชวนลูกชวนหลาน ชวนคนที่รักใคร่คุ้นเคยมาสวดมนต์ร่วมกันเพื่อสร้างสุขในครอบครัว เมื่อสังคมของเราเต็มไปด้วยผู้คนที่มีสติ และปัญญาที่แจ่มใส ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดที่คนไทยจะแก้ไขร่วมกันไม่ได้อีกต่อไปครับ

บทความสวรรค์รำลึกเดือน เมษายน ๒๕๕๗ โดย ศ.สวรรค์รำลึก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :  http://www.vcharkarn.com/vblog/45148

ท่านสามารถดาวน์โหลด คู่มือสวดมนต์ได้ที่ http://2541.ws/2541/Home.html

Contribute!
Books!
Shop!