พระประวัติ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
- Details
- Category: บทความประวัติศาสตร์
- Published on Sunday, 16 November 2014 08:47
- Written by Super User
- Hits: 8915
พระประวัติ ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ
คัดจากหนังสือ พระประวัติและพระโอวาท ท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ชมรมสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ฯจัดพิมพ์เผยแพร่ในวันรำลึกถึงเสด็จพ่อท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ๑ พ.ค. ๒๕๕๗
องค์สมมติท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ สร้างครั้งแรกในโลกมนุษย์
ทำพิธีหล่อรูป เมื่อ ๑๗ มิ.ย.๒๕๑๔
ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นบุตรของพราหมณี ชื่อ ยะถานา บิดาท่านชื่อมะติโตะ ท่านเป็นชาวอินเดียแคว้นพาราณสี เกิดในสมัยพุทธกาล ท่านเห็นพระโมคคัลลาน์ ตอนพระโมคคัลลาน์ไปบิณฑบาตเห็นพระโมคคัลลาน์เดินบิณฑบาตอย่างสงบ ท่านเกิดความศรัทธาจึงตามไปและขอเป็นลูกศิษย์พระโมคคัลลาน์ด้วย ต่อมาท่านก็ได้บวช แล้วท่านบำเพ็ญจนสำเร็จขั้นอรหันต์ เมื่อท่านอายุได้เพียง ๗ ขวบ ครั้นพอท่านมีอายุได้ ๒๓ ปี ๖ เดือน ได้มีสตรีกระโดดเข้ากอดท่านทางด้านหลังด้วยความหลงใหลในความงามของรูปร่างท่าน ท่านจึงถอดกายทิพย์ออกสู่พรหมโลก
ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นผู้มีลักษณะ และคุณลักษณะ ตามที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี อธิบายไว้ในหนังสือ “เบื้องหลังพระคาถาชินปัญชร พร้อมด้วยพระคาถาที่ถูกต้อง”ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักปู่สวรรค์
ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ สมัยมีสังขารเป็นคนรูปงาม เสียงไพเราะเหมือนเสียงนกการะเวก สูง ๑๘๕ เซนติเมตร ผิวขาวละเอียดเหมือนหยก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับทูตสันติภาพฯ(คืออาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์) แล้ว ท่านมีผิวสวยกว่าอาจารย์สุชาติ ๕ เท่า ใบหน้าของท่านแดงระรื่นเหมือนสีชมพู ผมเกล้าจุก คิ้วโก่งเหมือนคันศร ตางามเหมือนเหยี่ยว จมูกโด่งแบบแขก จมูกตรงลงมาไม่มีสัน ปากรูปกระจับ เดินเหมือนพญาราชสีห์ กายของท่านมีแสงเหมือนแสงอาทิตย์ จิตใจท่านงามเหมือนพระจันทร์ ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เจ้าระเบียบที่สุด ละเอียดรอบคอบที่สุด สะอาดมากที่สุด และท่านเกลียดสตรีเพศ
ท่านเป็นรูปพรหม คือ เป็นพรหมที่มีรูปทิพย์ ขณะนี้ท่านเป็น หัวหน้ารูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ท่านเป็นผู้รอบรู้พิธีการต่างๆของโลกวิญญาณ ท่านสามารถสวดพระคาถาคลายเวท ถ้าท่านสวดคาถานี้ในโลกมนุษย์หรือบนสวรรค์ เสียงจะก้องกังวานไปทั่วนรกสวรรค์สามสิบสามชั้น เทพพรหมได้ยินจะสะเทือนจิตออกจากสมาบัติหมด เพื่อรับทราบพิธีการที่ท่านจัดขึ้น ท่านถือหน้าที่เป็นหน้าที่ ถ้าไม่มีหน้าที่แล้วท่านชอบเล่นเหมือนเด็ก ชอบร้องเพลง
สมัยหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี มีสังขารท่านเคยปรากฏรูปร่างให้หลวงพ่อสมเด็จฯเห็น และช่วยแนะนำหลวงพ่อสมเด็จฯในการสร้างพระเครื่องสมเด็จอิทธิเจ ที่ต่อมามีกิตติศัพท์ความขลังนั้นด้วย
ตามความเป็นจริงแล้ว ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไม่ประสงค์มายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ เพราะมนุษย์มีจิตใจสกปรก และไร้ยางอาย แต่เมื่อหลวงพ่อสมเด็ จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี ดิ้นรนลงมาตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ ก็ได้อัญเชิญท่านลงมาช่วยปกป้องมนุษย์จากมารและร่วมทำงานโปรดสัตว์ด้วย
พิธีการอาบน้ำมนต์และรักษาโรคทางวิญญาณของสำนักปู่สวรรค์ในอดีต
ท่านมีเมตตา จึงลงมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์ โดยการช่วยรดน้ำมนต์รักษาโรคมารแทรก(ถูกคุณไสย ถูกกระทำต่างๆ) ให้แก่มนุษย์ และช่วยจัดพิธีกรรมต่างๆ ที่เป็นงานใหญ่ๆให้ด้วย แม้กระนั้นท่านก็ยังคงไม่อยากยุ่งกับมนุษย์มากนัก ดังจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ท่านลงมาโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ ท่านจะไม่พูดกับมนุษย์เลย เพราะท่านไม่ต้องการให้มนุษย์ติดท่าน ท่านใช้วิธีการเขียนข้อความที่ประสงค์จะกล่าวตามความจำเป็น ลงในแผ่นกระดาษเป็นภาษาไทย แล้วให้เจ้าหน้าที่อ่านข้อความนั้น ให้บุคคลที่ท่านประสงค์กล่าวด้วยฟัง และท่านจะสื่อกับมนุษย์ไม่ว่าเรื่องใดๆเท่าที่จำเป็นเท่านั้น บทพระโอวาทของท่านที่คัดมาได้นี้ ย่อมแสดงความจริงในข้อนี้ได้ ท่านได้เขียนพระโอวาทเหล่านี้สอนสานุศิษย์บางคนที่มาขอให้ท่านรักษาโรคให้ ซึ่งข้อความที่เป็นพระโอวาทเหล่านี้ ท่านเขียนแทรกอยู่ในการสั่งงานหรือแนะนำเรื่องอื่นๆ ผู้รวบรวมได้ขออนุญาตจากท่านคัดออกมาเฉพาะเนื้อหาธรรมะเท่านั้น เรื่องอื่นนอกจากธรรมะได้ตัดออก
นับว่าเป็นการรวมพระโอวาทของท่านเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ท่านลงมาทรงงานในโลกมนุษย์นับจำนวนสิบปีที่ผ่านมานี้ ท่านได้เคยให้เหตุผลในการที่ท่านมาต้องการเกี่ยวข้องกับมนุษย์มากนักว่า
“การผูกพันกับมนุษย์มากเกินไป มีแต่ทางขาดทุน เพราะมนุษย์ไม่รู้จักความพอ อาศัยพรหมวิหารสี่ จึงไม่หลงมนุษย์ คือมนุษย์จะให้เทพพรหมช่วย แต่มนุษย์ไม่ช่วยตัวเอง”
ซึ่งตามปกติถ้าท่านไม่ลงมาโปรดสัตว์ยังสำนักปู่สวรรค์แล้ว ชาวโลกมนุษย์ก็จะไม่มีทางรู้จักท่านอย่างแท้จริงได้เลย เพราะท่านเป็นคนสมัยพุทธกาล ไม่มีใครจดแจ้งพระประวัติของท่านเอาไว้ เมื่อพระนามของท่านมาปรากฏในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งที่สำนักปู่สวรรค์นี้ ก็ได้มีมนุษย์บางคนนำพระนามของท่านไปแอบอ้างในที่อื่นๆ นอกสำนักปู่สวรรค์ ซึ่งท่านก็ได้ปฏิเสธว่ามิได้ไปเกี่ยวข้องเช่นนั้นด้วยเลย ห้ามมิให้มนุษย์ไปหลงเชื่อการหลอกลวงนั้น
หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) เคยเทศน์เล่าที่สำนักปู่สวรรค์ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๓ ว่า ท่านท้าวมหาพรหมชินนะระอาต่อความหน้าด้านและความไม่เอาจริงของมนุษย์ โดยท่านปรารภว่า ท่านปกครองรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ยังไม่วุ่นวายเท่าปกครองมนุษย์เลย แต่อย่างไรก็ตามหลวงหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) ก็ได้ขอให้ท่านช่วยสำนักปู่สวรรค์ต่อไปตามสัจจะที่ท่านได้ให้ไว้เองว่า จะช่วยจนกว่าจะถึงอย่างน้อยวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๕ และหลวงปู่ทวดได้เทศน์ชี้แจงด้วยว่า ถ้าตอนนี้ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เลิกลงมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์แล้วไซร้ องค์หลวงปู่ทวดเองก็จะเลิกทำงานที่สำนักปู่สวรรค์ด้วยอีกองค์หนึ่ง
คณะธรรมทูตสำนักปู่สวรรค์ออกตระเวณบำรุงขวัญทหารตำรวจและวีระบุรุษชายแดนทุกสมรภูมิในประเทศไทยเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ทำงานในแนวหน้าทำหน้าที่พิทักษ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้อย่างเต็มที่
ในการที่คณะธรรมทูตสำนักปู่สวรรค์เดินทางไปแจกผ้ายันต์พิทักษ์เอกราชแก่นักรบในสมรภูมิต่างๆ และแก่วีรบุรุษตามสนามรบชายแดนไทยนั้น สมรภูมิหรือสนามรบที่คณะธรรมทูตคณะนี้ไปถึง แต่ละแห่งล้วนเป็นที่มีอันตรายอย่างยิ่งยวด จนทางการประกาศห้ามประชาชนผ่านเข้าไป เพราะฝ่ายตรงข้ามมักแอบซุ่มทำร้ายและวางกับระเบิดอยู่เสมอ แต่คณะธรรมทูตคณะนี้ก็ฝ่าเข้าไปจนถึงสมรภูมิสำคัญๆเหล่านั้นจนได้ เป็นดังนี้ตลอดมาซึ่งไม่มีใครหรือองค์กรใดๆกล้ากระทำเช่นนี้ได้
ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งนายทหารสมรภูมิเหล่านั้นว่า เป็นเพราะบารมีท่านบรมครูสำนักปู่สวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ คอยปกป้องคุ้มครองอยู่นั่นเอง ซึ่งสำนักปู่สวรรค์ได้รวบรวมบันทึกการเดินทางของคณะธรรมทูตนี้รวมเป็นเล่มออกเผยแพร่แล้ว
การที่ท่านช่วยเหลือนี้มิเป็นการเอาเปรียบฝ่ายตรงข้าม หากแต่ท่านต้องการให้ประเทศไทยอยู่รอด เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาต่อไป และเผอิญกรรมของประเทศไทยยังไม่หนัก ท่านจึงพอจะช่วยเหลือตลอดมาได้
ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เป็นหัวหน้ารูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น บารมีท่านสูงส่ง เทพพรหมทั้งหลายขึ้นไปพบท่านได้โดยยาก จึงมักถือโอกาสเข้าเฝ้าท่าน เมื่อตอนที่ท่านลงมายังโลกมนุษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ในแต่ละครั้ง
ท่านเป็นเจ้าพิธีการแห่งโลกวิญญาณและเป็นผู้พิชิตมาร ท่านมีบารมีที่บำเพ็ญมาทำให้พวกภูตผีปิศาจมารร้ายต่างๆเกรงกลัวท่าน หลวงปู่ทวดเคยเทศน์โปรดที่สำนักปู่สวรรค์พาดพิงถึงท่านครั้งหนึ่งว่า
“ท่านจะสังเกตเห็นว่า อย่างพวกวิญญาณไม่ดี หรือพวกสัมภเวสีพวกอมนุษย์ พวกโอปาติกะชั้นต่ำ เวลาท่านเกิดพบอะไรมารังแก ท่านมาระลึกถึงอาตมาเขาไม่กลัว เขาไม่หนีหรอก แต่ถ้าท่านระลึกถึงท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เขากลัว เขาจะหนี ซึ่งก็มีอย่างให้ท่านดูเมื่อสองอาทิตย์ก่อน พวกวิญญาณชั้นต่ำมานั่งทะเลาะกันอยู่ข้างล่าง ทั้งๆที่อาตมาทำงานอยู่บนนี้ เขาไม่มีความเกรงใจ แต่พอท้าวมหาพรหม ลุกขึ้นมาเท่านั้นเอง เขาเงียบกริบกันได้ นั่นเพราะอะไร เพราะบารมีคนเราบำเพ็ญมาต่างกัน”
นอกจากนี้หลวงปู่ทวดยังได้เทศน์เล่าถึงลักษณะของท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไว้ดังนี้ด้วยว่า “ท่านจะเห็นว่าถ้าอารมณ์อุเบกขา และเด็ดเดี่ยวแล้วก็มีตัวอย่างให้ท่านดู คือท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ คำสั่งท่านสั่งออกไปแล้วแม้แต่เทวดาที่ท่านขี่ จะมากอดขาอ้อนวอนว่าสงสารเด็กเขาเถิด ท่านยังเฉย อันนี้คือ ลักษณะของผู้นำพรหมโลก....พรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น มีรูปพรหมเป็นโกฏิๆ มนุษย์ทั้งโลกรวมกันยังไม่เท่ากับพรหมโลก ๑ ชั้น”
หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษีเองก็เคยเทศน์เล่าถึงท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระไว้ในบางครั้งบางคราว เช่นครั้งหนึ่งเมื่อตอนช่วงปลายปี พ.ศ.๒๕๒๒ ศูนย์ประสานงานสมาคมศาสนาสัมพันธ์ประจำจังหวัดพิจิตร ได้จัดธรรมทัศนาจรพาชาวจังหวัดพิจิตร ไปบำเพ็ญกุศลที่อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ขาไปก่อนที่จะถึงอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ก็ได้แวะเที่ยวชมและนมัสการพระที่วัดโพแมนคุณาราม ถนนสาธุประดิษฐ์ กรุงเทพมหานคร ก่อนด้วย
วัดโพแมนคุณารามนี้เป็นวัดชาวจีนซึ่งถือพุทธศาสนานิกายมหายาน วัดนี้มีโบสถ์และอาคารต่างๆสะอาดสวยงามอย่างยิ่ง ตรงประตูหน้านี้มีรูปกษัตริย์นักรบชาวจีน หล่อหรือปั้นไว้ด้วย ๑ องค์ เป็นรูปประทับยืน หันพระพักตร์สวนทางไปทางพระประธานในโบสถ์ ซึ่งรูปปั้นเช่นนี้จะพบเสมอตามวัดของชาวพุทธนิกายมหายาน อย่างเช่นวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่ กรุงเทพมหานคร) ก็มีเป็นต้น ซึ่งรูปปั้นหันไปทางหน้าพระประธานในโบสถ์เช่นนี้จะมีอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นในแต่ละวัด ซึ่งชาวพิจิตรได้ไปชมมา
ครั้นต่อมาถึงอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ชาวพิจิตรกลุ่มนี้ได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงพ่อสมเด็จฯ หลวงพ่อสมเด็จฯ จึงได้อธิบายตอนหนึ่ง ถึงรูปปั้นด้านในประตูหน้าวัดตามที่กล่าวนั้นว่า นั่นคือชาติปางหนึ่งของท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระนั่นเอง ก็เนื่องจากการที่ท่านได้ตั้งสัจจะที่จะปกปักรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้คงอยู่ตลอดไปนั่นเอง
ฮู้ฮวบซิ้ง พรหมพิทักษ์ธรรม (รูปนี้ประดิษฐานที่อุทยานศาสนาพระโพธิสัตว์กวนอิม จ.เพชรบุรี)
ซึ่งความจริงข้อนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ได้ลงมาสั่งงานสานุศิษย์ที่สำนักปู่สวรรค์ ท่านก็ได้เขียนข้อความพาดพิงถึงประวัติของท่านตอนหนึ่งว่า ชาวจีนนับถือท่านว่า “ฮู้ฮวบซิ้ง เทพแห่งพิทักษ์ธรรม”นั่นเอง
นอกจากนี้ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ยังได้เทศน์โปรดให้ฟังอีกด้วยว่า เมื่อสมัยพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ยังกำลังบำเพ็ญเพื่อที่จะสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์อยู่นั้น ก็ได้มีท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ นี้เองที่ได้ช่วยปกป้องคุ้มครอง มิให้พวกมารรบกวนการบำเพ็ญพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ต่างนับถือท่านจนเป็นนิกายที่สำคัญนิกายหนึ่งทีเดียว นิกายนั้นคือ ที่เรียกว่า “นิกายชินโตโน่”นั่นเอง
รวบรวมเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๓
หมายเหตุ : ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เสด็จมาทรงงานที่สำนักปู่สวรรค์ เมื่อวันวิสาขบูชา ปี พ.ศ.๒๕๑๐ และยุติการทรงงานเมื่อท่านอาจารย์อริยวังโสภิกขุ ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘
รวมเวลา ๓๘ ปี