E-book สวรรค์รำลึก

รำลึกศึกษา

ศึกษาประวัติของหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในอดีต

ร้านหนังสือสวรรค์รำลึก

เยี่ยมชมเรา

สื่อมงคลสำนักปู่สวรรค์

สิ่งดีที่ฝากไว้ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ความรู้ทางวิญญาณ จากการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ภาพยนต์รำลึก

ชมภาพยนต์ประวัติศาสตร์และสื่อเพื่อการศึกษาค้นคว้า

หลวงปู่ทวด-สังคมพระโพธิสัตว์

A-loungpoo

สังคมพระโพธิสัตว์

เจริญพร

สานุศิษย์ทั้งหลาย วันนี้ได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่งเป็นการชุมนุมของ ผู้เสียสระเข้ามาร่วมทำงานสังคมของฆราวาสในสายตาของคนภายนอกที่เรียกตนว่า เจริญแล้ว เขาก็จะว่าพวกเรา (สังคมของสำนักปู่สวรรค์) นี้เป็นพวกงมงายเป็นพวกบ้า

ทั้งนี้เราต้องคิดว่า การทำดีเพื่อส่วนรวมในสังคม เป็นจุดสำคัญ เราจะต้องมีธรรมมะเรียกว่า ขันติ และเราจะต้องมี ทมะ ต่ออุปาทาน เพราะว่าในชีวิตแห่งการเป็นสัตวโลก ที่ประกอบด้วยมนุษย์ นานาจิตตัง มนุษย์ส่วนมากถือดี อวดดี ยึดตน แล้วก็มีตัวอิจฉา ไม่อยากเห็นคนอื่นดีกว่าตนในสังคมปุถุชน

ในขณะนี้ เรากำลังจะสร้างสังคมใหม่

เพื่อให้มนุษย์ระลึกถึง นามธรรม

เพื่อให้มนุษย์เตรียมตัวว่า ตายแล้วจะไปไหน

สังคมที่เป็นกลียุคเช่นนี้มีตัวโลภครอบงำ ตัวโกรธ ครอบงำ ตัวหลงครอบงำ เมื่อตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวหลงครอบงำแล้วก็ย่อมประกอยด้วยความอิจฉาริษยา มีคู่แข่งคู่ขันกัน ทีนี้ภาวะที่เราจะทำงาน จุดสำคัญ เราจะต้องมีความหนักแน่น เราจะต้องมีสติพร้อม อย่าตื่นตูม เพราะอะไร เพราะว่า สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วย สังคมลมปาก พลังแห่งสังคมลมปากเช่นนี้จึงเป็นสังคมที่

เราจะต้องมีสติพร้อมในการวินิจฉัยเหตุการณ์

เราจะต้องมีสติพร้อมในการวินิจฉัยความจริงเท็จ

เราจะต้องมีสติพร้อมในการที่จะเข้ามาสู่การทำงาน

ทีนี้ จุดสำคัญในการทำงานมรอยู่อย่างหนึ่งคือ การทำงานใหญ่นั้น ต้องประกอบด้วยคนมากหน้า นานาบุคคลเขาเรียกว่าคนเรานี้สังขารเป็นสิ่งอนิจจัง สังขารเคลื่อนสู่ความสลายแห่งกายเนื้อ และทุกคนมีความสามารถของตนไม่เหมือนกัน รวมทั้งทุกคนต่างก็มีความคิดไม่เหมือนกันทีนี้ภาวะแห่งการที่มนุษย์มีความสามารถไม่เหมือนกัน มีความคิดไม่เหมือนกัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดปัญหาขึ้น

เพราะฉะนั้น การทำงานกับคนทั้งหลายในหมู่มาก เราจะต้องใช้หลักวินิจฉัยให้ละเอียดและขจัดปัญหาในสิ่งที่ไม่ดีซึ่งเราเล็งเห็นเป็นสิ่งที่ร้าย ให้ออกจากสมอง และสังคมนั้นให้หมด ท่านจะต้องเข้าใจว่า จะต้องมีอารมณ์แห่งการกระทบของอาตยะทั้งภายนอกและภายใน ทำให้เราฟุ้งซ่านและตื่นเต้น ทีนี้ เราต้องอย่ามีความวิตกกลัวว่าจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้น เราต้องถือว่าการทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราต้องเป็นผู้ที่มีความสุขุมรอบคอบในการดูในการแลทั้งหลายที่เกิดขึ้น คือ เราต้องเข้าใจตามหลักพระพุทธศาสนาว่า

ภาวะทั้งหลายล้วนมีแต่เหตุผล

เหตุเกิดขึ้น ต้องมีสมุฏฐาน

สมุฏฐาน ก่อให้เป็นปัจจัย

ฉะนั้น เราจะต้องมีสติพิจารณาถึงสมุฏฐาน ถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นไว้แต่เนิ่น ๆ ภาวะแห่งสังคมของมนุษย์ซึ่งต่างคนต่างมีกรรมของตนเป็นจุดสวย ประเทศก็มีกรรมของประเทศบ้านก็มีกรรมของบ้าน ศาสนาก็มีกรรมของศาสนา เราทำงานเราตั้งปณิธานได้ แต่เราอย่ายึดปณิธานนั้นๆ ปุถุชนทำอะไรก็จะผิดมีถูกรวมกันไปในชีวิตแห่งการเสวยกรรมในโลกมนุษย์ ทีนี้ จะทำอย่างไรจึงจะทำงานผิดน้อยที่สุดวิธีปฏิบัติ ก็คือ

เราจะต้องมีสติพร้อม

เราจะต้องไม่เกียจคร้าน

เราจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น และนำมาวินิจฉัยประกอบเรื่อง

เมื่อท่านมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบแล้วโรงสร้างของสังคมก็จะเจริญขึ้น สังคมนั้น ๆ จะเข้าไปสู่ความหายนะยาก เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเราอยู่ในสังคมที่ล้านแต่ผู้มีสติผู้ที่ร่วมสังคมล้วนแต่ฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะเตือนให้รู้ว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่งนั้น จะว่าประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็ความทุกข์เข้าครอบงำจะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างขี้ฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วก็จะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราออกจากบ้านก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงานในสัมมาอาชีวะแห่งการเลี้ยงตนชอบ นี่คือความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัยสี่

ฉะนั้น เมื่อองค์สมณโคดม มีสังขารอยู่ได้พำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์ มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค ได้พิจารณาถึงเหตุและโดยปัจจัยในสิ่งที่จะพ้นกองทุกข์ได้ ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงตามภาวะกรรมวิบากพระองค์ได้วินิจฉัยว่า ในการที่จะให้เกิดช้าก็ดี ในการที่จะให้พบความสุขก็ดี ในการที่จะให้พ้นทุกข์ก็ดี มันอยู่ที่นามธรรม ภาวะนามธรรม ได้มีอำนาจฌาน ญาณ ในด้านมีสติพิจารณาตนกับไว้ว่า ในระหว่างการเป็นคนนี้ จะต้องทำอะไรบ้าง หลังจากตายแล้ว จะไปไหน สิ่งเหล่านี้ก็จะเตือนให้เราไม่ต้องมีทุกข์มาก การที่เราจะไม่ต้องมีทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้ต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคมเราจะต้องเป็นตัวของเราเอง และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเรา สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดเราไม่ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานศาสนานั้น เป็นงานที่ยากเป็นงานที่ต้องใช้สมอง และเป็นงานทที่จะต้องรับคำนินทา คำสรรเสริญมาก สิ่งเหล่านี้ท่านทั้งหลายที่มีกรรมพัวพันกันมาในอดีต และได้เข้ามาร่วมในสังคมที่แหวกแนว ในกลียุคเช่นนี้ ก็คิดว่าทุกคนที่จะต้องมาพบปะเพื่อการสนทนาธรรมก็ดี เพื่อการศึกษาการงานที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็ดี ได้เสียสละเวลามาพบและคุยกันย่อมก่อให้เกิด ปัญญาปัญญาเกิดขึ้นได้สองทาง คือ

$1๑.              ปัญญา ที่เรียกว่า ปัญญารู้บริสุทธิ์ปัญญารู้บริสุทธิ์นั้นจะต้องเกิดจากการทำสมาธิจิตให้เกิดฌาณญาณจึงจะเกิดปัญญารู้บริสุทธิ์

$1๒.              ปัญญาอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า ปัญญาจากการพบปะ หรือปัญญาในโลกมนุษย์ ปัญญานี้เกิดจากการสนทนาปรึกษา เกิดจากการคิด เกิดจากการเห็น เกิดจากการอ่านมาก เป็นปัญญาในการที่เรียกว่า ปัญญาจากภายนอกเข้าสู่ภายในส่วนปัญญารู้บริสุทธิ์นั้นเกิดจากการทำสมาธิจากภายในสู่ภายนอก

ขณะนี้ทุกคนที่มานั่งอยู่ในที่นี้ ก็เรียกว่าปัญญาจากภายนอกเข้าสู่ภายในกันมากจนเรียกว่า อิ่มตัวและกำลังค้นเรื่องปัญญาจากภายในสู่ภายนอก อาตมาคิดว่า ทุกคนคงตระหนักดี เวลานี้ ภาวะในโลกมนุษย์ร้อนเป็นไฟเราจะต้องทำให้ดินแดนน้อย ๆ แห่งหนึ่งเป็นสถานที่สงบ เยือกเย็น เกิดจากสิ่งมหัศจรรย์เป็นสิ่งที่ ให้โลกมนุษย์พิจารณาว่า

สิ่งลี้ลับในโลกนี้ยังมีอยู่มาก

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกนี้ยังมี

ความยุติธรรมของโลกนี้ยังมี

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เรียกว่า ผู้มีกรรมน้อยได้มาร่วมใน สังคมพระโพธิสัตว์ ในการบำเพ็ญตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ก็จำเป็นจะต้องอดทนต่อไป เพื่อช่วยส่วนรวมให้ยึดมั่นตามเป้าหมายที่เราวางไว้ไม่มากก็น้อยหวังว่าทุกคนจงตั้งสติให้ดี และขอให้ทุกคนมีพลานามัยที่ดี เขาเรียกว่าให้กายในสบาย ทีนี้ ถ้าเราจะให้กายเนื้อดี เราจะต้องทำจิตใจให้สงบ เพราะว่าจิตที่ไม่รวมนิ่งย่อมฟุ้งซ่าน อันจะทำให้กายเนื้อแตกเพราะใช้ธาตุไฟมากเกินไปนี้เป็นหลักธรรมดาของหลักสรีรศาสตร์ ของมนุษย์

ฉะนั้น อาตมาก็ไม่มีอะไรจะเทศน์มากกว่านี้

  1.                                                                                                                                                                             เจริญพร
Contribute!
Books!
Shop!