E-book สวรรค์รำลึก

รำลึกศึกษา

ศึกษาประวัติของหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในอดีต

ร้านหนังสือสวรรค์รำลึก

เยี่ยมชมเรา

สื่อมงคลสำนักปู่สวรรค์

สิ่งดีที่ฝากไว้ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ความรู้ทางวิญญาณ จากการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ภาพยนต์รำลึก

ชมภาพยนต์ประวัติศาสตร์และสื่อเพื่อการศึกษาค้นคว้า

หลวงปู่ทวด-ตามรอยองค์สมณโคดม

A-loungpoo

ตามรอยองค์สมณโคดม

(เทศน์ในวันวิสาขบูชาที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๐ เวลา ๒๓.๓๕ น.)

คืนนี้เป็นคืนขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อย้อนไปในอดีตกาลสองพันกว่าปีก่อนนั้น สภาวะเวลานี้ โลกมนุษย์ได้ สูญสิ้นพระบรมศาสดาองค์สำคัญองค์หนึ่งในแคล้นภารตะแต่โลกวิญญาณได้ต้อนรับดวงวิญญาณดวงหนึ่งซึ่งโลกวิญญาณส่งมาทำงานได้สำเร็จผลตามที่ได้กำหนดไว้เพราะฉะนั้นคืนนี้อาตมาจะขอเทศน์ในหัวข้อว่า ตามรอยสมณโคดม

สภาพการณ์เวลานี้ ทุกคนในโลกมนุษย์ที่กล่าวว่าข้านี้คือชาวพุทธแต่หารู้ไหมว่าการเป็นชาวพุทธนั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศาสนาขององค์สมณโคดม ในปัจจุบันนี้เป็นวิถีการแห่งปลายกลียุคของโลกมนุษย์อยู่ในระหว่างเข้าใจผิดตีธรรมะขององค์สมณโคดมไปในทางที่ผิด อย่างเช่นพระภิกษุในปัจจุบันก็ดี นักบวชในปัจจุบันก็ดี ทั้งบรรพชิตและฆราวาสโดยมากถือหลักแห่งการติด หนึ่งติดในกาย สองบ้างติดในปรมัตถ์ บ้างติดในพระสูตร บ้างติดในพระวินัย แต่หารู้ไม่ว่ากฎเหล่านี้เกิดจากอะไร กฎเหล่านี้ เช่น พระวินัยก็ดี ศีล ๘ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี ศีล ๑๐๘ ก็ดี ศีล ๒๒๗ ก็ดี ศีลเท่าไหร่ก็ดี เกิดจากสภาวะแห่งผู้ที่เข้ามาในศาสนาขององค์สมณโคดม ไม่ปฏิบัติตามหลักแนวทางขององค์สมณโคดมที่วางไว้ จึงบัญญัติวินัยเหล่านี้ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักของพระสูตร ซึ่งเป็นการสอนในระหว่างบุคคลที่ฟังเข้าใจในสูตรนั้นๆ เพราะฉะนั้น โลกมนุษย์เวลานี้หลงอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งสภาวะอันนี้แหล่ไม่คิดไม่นึกว่าพระไตรปิฎกเกิดขึ้นมาเพราะอะไร

การที่พระไตรปิฎกเกิดขึ้นมาก็เพราะเหล่าอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย เหล่าเกจิอาจารย์ทั้งหลายก็ได้รวบรวมคำเทศนาสั่งสอนขององค์สมณโคดมได้ปรินิพานไปแล้วประมาณ ๓ พรรษา แต่หารู้ไม่ว่าโลกในปัจจุบันนี้คนทุกคนเข้าใจว่าคำเทศน์เหล่านี้นั้นเป็นขององค์สมณโคดมองค์สมณโคดมได้เทศน์เอาไว้ยังมากกว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่รวบรวมไว้ไม่พร้อม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคปัจจุบัน กฎขององค์สมณโคดมที่วางไว้ไม่เสื่อม แต่มนุษย์เสื่อม การบวชเป็นพะภิกษุสงฆ์ของมนุษย์ทุกวันนี้ติดนิกาย ติดอาจารย์ ติดพรรค ติดพวก ติดเหล่า ติดคณะ เพราอะไรเล่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเพณีการบวชในกรุงสยามนั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่รู้ว่าเป็นหลักของใครเพราะอะไรเล่า

เมื่อสองพันกว่าปีก่อนนั้น ผู้ที่จะบวชเป็นบรรพชิตนั้นถือว่าสละแล้วซึ่งโลกียะเพื่อบำเพ็ญไปสู่ในหลักแห่งโลกุตร เพื่อหลุดพ้นแห่งกฎสงสารการเวียนว่ายตายเกิดนั้น แต่หารู้ไม่ว่า ปัจจุบันนี้มีการบวชแก้บน บวชสามเดือนบ้าง บวชสิบห้าวันบ้าง บวชสิบวันบ้าง เหล่านี้แหละ ทำให้พุทธศาสนาของเราเสื่อมไป เพราะคนมองไม่เข้าใจ กฎอันนี้อาตมากล้าพูดว่าองค์สมณโคดมไม่เคยบัญญัติเลย ว่ามีบวชแก้บนมิฉะนั้นจะมีรอยพระอรหันต์ พระอนาคามีหรือ เพราะว่าบวชแล้วต้องบวช หมายถึงว่าเราสระแล้ว ทีนี้สภาวะนั้นเหล่าฆราวาสทั้งหลายถ้าอยากจะบวชสามเดือน บวชสิบห้าวันนั้น อาตมาอยากจะขอร้องว่าไปบวชเลย เสียข้าวของเสียผ้าเหลืองเปล่า ๆ ถ้าจะบวชจริงๆ ก็ให้ บวชใจ หรือกักบริเวณบำเพ็ญของตนเอง ถือแบบพระจริงๆ โดยไม่ต้องไปโปรดสัตว์ไปบิณฑบาตก็ได้ เรียกว่าบวชจริง ๆ บวชทางใจการบวชแก้บนคือการที่บางคนไปห่มผ้าเหลือง ห่มแล้วกลับมากลับเป็นคนไม่ดี เพราะอะไรเล่า เพราะคนในปัจจุบันนี้ล้วนแล้วเพียงแค่ละอองของพุทธะ ไม่รู้ว่าพุทธแท้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักแห่งความจริงแล้ว ถ้าเราจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง อาตมาอยากจะบอกว่าไม่ต้องไปศึกษาพระไตรปิฎก ไม่ต้องไปศึกษาอรรถกถา ฎีกาใด ๆ ทั้งนั้นควรจะศึกษา กายในกาย ควรจะศึกษาสังขารในสังขาร ควรจะศึกษาวิญญาณในวิญญาณ เพราะอะไรเล่าเพราะว่านี้คือหลักแห่งความจริงที่องค์สมณโคดมวางไว้

ทีนี้ถ้าเราจะเป็นชาวพุทธแบบพุทธของโลกียะ คือ อยากให้เขาถือว่า ฉันนี่แหละรู้เรื่องพุทธศาสนา เรียกว่าเอาแค่ชนะการพูดนั่นก็ควรศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ายิ่งศึกษาตำรายิ่งยุ่ง ยิ่งไม่รู่เรื่อง ถ้าจะศึกษาในหลักธรรมะอรรถกถาฎีกาต่าง ๆ หรือหลักธรรมมะที่เกจิอาจารย์คนนี้บัญญัติไว้ เกจิอาจารย์คนนั้นบัญญัติไว้ ทั้งชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ศึกษาไม่จบ เพราะตำราทั้งหลายเกิดสะสมกันขึ้นมา เพราะฉะนั้นยิ่งศึกษาก็ยิ่งฟุ้งซ่าน การเป็นชาวพุทธที่แท้จริงหรือการตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริงคือการปฏิบัติ การพิจารณากายในกาย การพิจาณาธรรมในธรรม การพิจาณาวิญญาณในวิญญาณ การพิจารณาสังขารในสังขาร นี้แหละผู้นั้นจะเดินตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า บวชนั้นหมายความว่าตัดแล้วซึ่งโลกียะไม่ยุ่งแล้วซึ่งโลกของโลกียะ บวชตัวเพื่อที่จะบำเพ็ญให้ถึงจุดแห่งพุทธะ แล้วเอาหลักแห่งการบำเพ็ญถึงจุดแห่งพุทธะที่องค์สมณโคดมได้วางไว้นั้น มาเผยแพร่คนอื่นต่อไป

แต่ทุกวันนี้ รู้สึกว่าโลกของศาสนาพุทธกำลังไปสู่สากลแห่งความเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าบรรพชิตต้องอยู่ในปกครองของฆราวาส บรรพชิตจะต้องมีการตั้งตำแหน่งอะไรทั้งหลาย ซึ่งตำแห่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ล่อให้จิตฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นผู้ที่จำบำเพ็ญไปตามองค์สมณโคดมไม่สมควรหลงในตำแห่งยศถาบรรดาศักดิ์เจ้าคุณเจ้าอะไรที่เขาตั้งกัน

เมื่อสมัยที่อาตมาอยู่ ณ กรุงศรีอโยธยาได้รับตำแหน่งเป็นพระสังฆราชในราชวงศ์ของพระรามาธิบดีที่ ๒ อาตมาได้เป็นสังฆราชอยู่ ๓ พรรษา อาตมาหนีตำแหน่งสังฆราชไปสร้างที่วัดปัตตานี เพราะอะไรเล่า เพราะว่าทีแรกๆ เราก็ไท่รู้ว่าเป็นสังฆราชเราก็ต้องทำตามแบบองค์สมณโคดมจะไปไหน ๆ หรือไปในวังเราก็เดินไป แต่เขาบอกว่าไม่ได้ท่านเป็นสังฆราชเดินไปไม่ได้ ต้องให้คนแบกไป นั่งเปลอะไรก็ไม่รู้ สองคนแบกกันไป อาตมาคิดในใจว่า แย่แล้วพอเป็นสังฆราชก็กลายเป็นคนป่วย เดินไม่ได้ ต้องให้เขาหามทีนี้ถ้าเราขืนหลงอยู่ในตำแหน่งนี้ เราก็ยิ่งฟุ้งกันใหญ่ไม่รู้อะไรเป็นอะไร อาตมาเลยหนีไปจำพรรษาอยู่ ณ น้ำตกทรายขาว

วิถีการพิจาณาของอาตมาที่บำเพ็ญอยู่นั้น อาตมาไม่ได้มีอะไร อาตมาเริ่มด้วยการเพ่งน้ำในน้ำตกว่า น้ำที่ไหลมาอย่างไร มาจากจุดใด มาอย่างไร ไปอย่างไร จึงรู้ว่ามันเป็นน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องของธรรม มิฉะนั้นองค์สมณโคดมจะไม่เทศน์เอาไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นรู้เอง

อีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ไม่ยอมสนใจ คือไม่สนใจค้นกายในกายของตนเอง สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า พุทธะนั้นอยู่ในกาย ถ้าจิตของผู้นั้นสามารถค้นเข้าไปถึงกายในกายอันบริสุทธิ์ สิ่งนี้ภาษาทางโลกเรียกว่า พลัง ชนิดหนึ่งที่ยอดเยี่ยมอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่รู้จักค้นออกมาใช้ เพราะอะไรเล่าทำไมเราจึงถามว่าเหตุใดสมณโคดมจึงสามารถระลึกชาติได้ เพราะมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ มีอนาคตญาณ หรือมีญาณอะไร สิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องไปรับรู้ ไม่ต้องยุ่ง เราต้องไม่ไปคิดว่าเราจะได้ฌานโน้นฌานนี้ หลักของการปฏิบัติอันหนึ่งมีอยู่ว่า เราจะยึดอะไรเป็นสรณะของการเริ่มปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน

คำว่า กรรมฐาน นั้นหมายถึงการกำหนดจิตของเราให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อรวมพลังจิตไม่ฟุ้ง เมื่อรวมพลังจิตอันนั้นไม่ให้ฟุ้งแล้ว รวมอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งรวมจนได้อารมณ์แห่งการ ปีติ คือนิ่งเฉยแห่งจุดนั้น เมื่อนั้นให้ขึ้นวิปัสสนา

วิปัสสนาคือให้พิจารณาในทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนัตตา อนัตตาคือการเดินทางไปสู่โลกแห่งนิพพานโลกแห่งอรหันต์ โลกแห่งโพธิสัตว์ โลกแห่งอนาคามี โลกเรานี้เป็นโลกแห่งอนัตตา ทำอย่างไรเราจึงจะไปสู่จุดแห่งการเป็นอนัตตา (ไม่ใช่อัตตา) ได้

กฎแห่งกรรมมีทอยู่ว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ไม่รู้จักกี่ภพไม่รู้กี่ชาติ ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งการเป็นมนุษย์ เมื่อไม่มีที่สิ้นสุดแห่งการเป็นมนุษย์ มันก็เวียนอยู่นี่ วนอยู่นี่ โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะหลุดออกจากคลื่นอันนี้ มันแสนจะลำบาก แสนจะเหนื่อยยาก จึงหาวิธีการปฏิบัติพูดง่าย ๆ ก็คือ ธรรมชาติเคลื่อนไปสู่ธรรมชาติ แต่เราจะบำเพ็ญไปสู่นิพพาน คือ สามารถทำจุดหนึ่งให้เหนือธรรมชาติ นี่คือภาษาของหลักแห่งธรรมะ ซึ่งฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เมื่อผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นจะรู้เอง สิ่งใดที่เราแทงทะลุปรุโปร่งมีจุดเริ่มแรกจุดหนึ่งซึ่งเรียกว่าจิตได้ฌาน เมื่อจิตได้ฌานแล้ว เราจะทำสิ่งใดเราก็สามารถรู้โดยจิตที่ได้ฌาน คือสภาวะแห่งธรรมชาติอันนั้นมีให้เราใช้ เพราะอะไรเล่า เพราะว่าธรรมชาติก็มีกฎของมัน กฎแห่งการลงโทษ กฎแห่งการปลดปล่อย กฎแห่งความอิสระ ฉันใดก็ฉันนั้น วิธีการนี้แหละจึงทำให้รู้ว่า การที่จะเดินตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ตำราไม่ใช่อยู่ที่เป็นนักพูด เราพูดมากแล้วเราเก่ง หาใช่สิ่งเหล่านี้ไม่

ถ้าจะเดินตามรอยองค์สมณโคดม ขั้นแรกแห่งการเป็นปุถุชนก็ต้องปฏิบัติในหลักศีล เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้วก็ให้ปฏิบัติในหลักแห่งความเป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้วให้ขึ้นสู่จุดแห่งปัญญาคือ เอาสมาธิพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ถึงพลังแห่งความสำเร็จของมัน สิ่งนี้ถ้าเปรียญเทียบกับทางโลกก็มีอยู่สองทาง สุดยอดของนิพพานคือละจนถึงที่สุด สุดยอดของความรักเพิ่มกิเลสจนถึงที่สุด ทั้งสองทางนี้รวมกลุ่มเดินของมันแข่งกันไป ถ้าสภาวะนั้นผู้นั้นจิตอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งถึงจุดอันหนึ่งมันก็เป็นความสำเร็จของมัน คือสำเร็จทางโลกียะ หรือ โลกุตะ เหล่านี้เหละเป็นสิ่งที่แท้จริงขององค์สมณโคดม ผู้ที่เดินตามรอยองค์สมณโคดม ต้องละหลง ละโกรธ ละชอบ ละโน่น ละนี่ ละเสียงกลิ่นรส ละโภชนาหารฉันได้ทุกอย่างเหลืออยู่แต่ความสามารถรักษาอารมณ์แห่งจิตนั้นให้เป็นจิตนิ่ง แล้วใช้จินแห่งการปีตินิ่งนี้พิจารณาทั้งของการจุติและของสรรพสัตว์ทางโลก นักแหละจะถึงจุดแห่งความสำเร็จ คือเป็นผู้ที่เดินตามรอยองค์สมณโคดมเพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่จะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ก็ควรจะปฏิบัติในกฎแห่งการ

พิจารณากายในกาย

พิจารณาธรรมในธรรม

พิจารณาวิญญาณในวิญญาณ

นั่นแหละคือสานุศิษย์อันแท้จริงขององค์สมณโคดม

                                                                             เจริญพร

Contribute!
Books!
Shop!