E-book สวรรค์รำลึก

รำลึกศึกษา

ศึกษาประวัติของหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในอดีต

ร้านหนังสือสวรรค์รำลึก

เยี่ยมชมเรา

สื่อมงคลสำนักปู่สวรรค์

สิ่งดีที่ฝากไว้ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ความรู้ทางวิญญาณ จากการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ภาพยนต์รำลึก

ชมภาพยนต์ประวัติศาสตร์และสื่อเพื่อการศึกษาค้นคว้า

หลวงปู่ทวด-สังคมมนุษย์

A-loungpoo

สังคมของมนุษย์

คืนนี้อาตมภาพขอเทศน์เรื่อง สังคมของมนุษย์การฟังเทศน์ก็ดี การเรียนธรรมะก็ดี การเรียนวิชาความรู้ก็ดี เราจะต้องฟังด้วยจิตแน่วแน่ พิจาณาตามไปและจะต้องรู้ว่าอะไรเป็น หลักอะไรเป็น ขยายความ

คำว่า สังคมมนุษย์นั้นขยายความตามหลักก็คือว่ามนุษย์ที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนเป็นคณะ และตัวเราปรับตัวให้เข้ากับคนหมู่มากต่อหมู่คณะ เสมือนหนึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดมได้สำเร็จเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระองค์ได้ตั้งอาณาจักรแห่งธรรม คือ สังคมธรรมมะของพระองค์ก็ได้พรรคพวกจากวิชาวิธีการเผยแพร่ความรู้ของพระองค์ สังคมใดก็ดี หมู่คณะใดก็ดี เขาย่อมทีหลักการและอุดมการณ์ของเขา ดังเช่นสำนักปู่สวรรค์นี้อาตมภาพเป็นผู้บัญชางาน มีพวกเจ้าเป็นผู้ช่วยเผยแผ่ทำงาน อาตมามีหลักการหลักหนึ่งคือ ทำการรักษาคนป่วย ส่วนคนที่จะมาศึกษาธรรมะ มาเรียนวิปัสสนากรรมฐานก็มาได้ สถานที่นี้เป็นที่บำบักทุกข์ทั้งกายและใจ

ทีนี้คำว่าสังคมมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร เราจะเข้าไปอยู่ในสังคมของเขา เราจะต้องทำตนอย่างไร คนที่จะมาร่วมสังคมของสำนักปู่สวรรค์เราจะปฏิบัติกับเขาอย่างไร หลักมีอยู่ว่าในการติดต่อกับมนุษย์ทุกคน เราจะต้องศึกษาในด้านจิตและวาทศิลป์ของฝ่ายที่มาติดต่อ หรือในการที่ตัวเราจะไปตืดต่อกับเขา คือหมายถึงการที่บุคคลปฏิบัติต่อบุคคลโดยการติดต่อระหว่างกัน

ข้อแรก เราจะท่องขึ้นใจว่า มนุษย์ทุกคนล้วนแต่นานาจิตตัง ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ต่างคนต่างมีอุดมการณ์ของตังเอง สังคมแต่ละชั้นจึงไม่เหมือนกัน เช่น สังคมของนักกฎหมายก็มีหลักนิตินัยนิติธรรมเป็นหลักหรือเป็นอุดมการณ์ พวกนักกฎหมายจึงต้องปฏิบัติตนตามระบบ คือนิติธรรมอันนั้นจะต้องศึกษาวินิจฉัยในนิติธรรมนั้นว่าเป็นอย่างไร ใครครวญแล้วจะปฏิบัติตามกฎหมายที่วางไว้ในรูปอย่างไร ควรช่วยในกรณีใด เช่น ควรช่วยเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าคนนั้นบริสุทธิ์

สังคมของเจ้าเตี้ย หมายถึงศิษย์คนหนึ่งที่มาร่วมประชุม มันก็ว่ากูจะขายอะไร ๆ นั้นจะขายไปได้เมื่อไหร่ก็ได้ขายได้ยิ่งมากยิ่งดีมันก็มีอุดมการณ์ของมันอย่างหนึ่งว่ากูผลิตให้มาก ๆ กูขายได้มาก ๆ กูก็พอใจ เมื่อกูได้กำไรมาก ๆ กูก็กินน้ำเมาได้มาก ๆ มันก็เป็นอุดมการณ์สวรรค์ของเจ้าเตี้ย

สังคมนักการค้า ก็ต้องวางแผนการติดต่อว่าจะติดต่อในรูปการอย่างไร สิ่งนี้จะเจรจากับเขาอย่างไร ถ้าเราจะต้อง มุสา แต่มุสาในการที่ชอบ การที่มุสาออกไปนั้น วาจาของเราเรียกว่าวจีกรรม สำหรับวจีกรรมนี้เป็นโทษที่หนักที่สุด วจีกรรมที่เราจะกล่าวออกไปนั้นเมื่อเรากล่าวออกไปแล้ว

หนึ่ง ฝ่ายที่เราจะติดต่อจะต้องไม่เสียหาย

สอง จะต้องไม่เสียหายแก่ตัวเราเอง

และไม่ใช่เพียงแค่นี้ เราจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า คำพูดของเราคำนี้ในอนาคตกาลจะเป็นผลร้ายหรือผลดีต่อเรา เขาเรียกว่าสร้างมโนกรรมแล้วค่อยแสดงออกทางวจีกรรม คือ เป็นคำพูดออกมา เพราะฉะนั้นก่อนที่จะพูดอะไรออกมานั้นจะต้องวินิจฉัยในใจก่อนแล้วค่อยพูดออกมา ทีนี้การที่เราจะคิดติดต่อกับเขา เราต้องอย่าเป็นนักพูดมาก แล้วจงพยายามหัดเป็นนักฟังที่ดี

สมมุติว่า ที่เราชวนเขาเข้ามาสำนักปู่สวรรค์ เราจะต้องฟังวาจาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นอย่างไร แล้วเราจะต้องวินิจฉัยคำพูดนั้นว่าเขาแสดงออกด้วยความจริงใจ หรือแสดงออกด้วยอารมณ์หรือว่าเราจะติดต่อการงานใดก็แล้วแต่ เราจะต้องพิจารณาแล้ววางหลักการอันใดอันหนึ่งที่จะไปหักล้างความเข้าใจเดิมของเขาให้เขาเชื่อถือ คือให้ ศรัทธาไม่ว่าสังคมใดก็แล้วแต่ เราจะต้องคุยให้เขาเกิดศรัทธา ให้เขาโน้มเอียงมาทางเหตุผลของเรา เพราะว่าถ้าบุคคลฟังด้วยความตั้งใจ เมื่อฟังแล้วมักเชื่อตามเหตุผลที่ถูกต้อง

อาตมาเทศน์คืนนี้ก็เท่ากับท่านได้ศึกษาพระไตรปิฎกทั้งหมดคือ มนุษย์ทุกคนต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเองและการโต้เถียงใด ๆ ก็ดีมักลงเอยด้วยเหตุผลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าเหตุผลของเราหรือคำพูดของเราได้เลือกสรรมา ไม่สามารถหักล้างเหตุผลของเขาได้เราก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้ถ้าเหตุผลของเรามาหักล้างเหตุผลของเขาได้เราก็เป็นฝ่ายชนะนี่คือ การต่อสู้ของโลกมนุษย์

ทีนี้เราจะต้องฟังข้องหนึ่งการที่เราจะเข้าสังคมใด ก็แล้วแต่ถ้าไม่จำเป็นแล้วอย่าพยายามปฏิบัติตามคำว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามข้อดีเป็นข้อที่ล้าสมัย ผู้ที่ไม่มีอุดมการณ์จึงจะใช้ข้อนี้ เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเมื่อเราศึกษาธรรมะเราเข้าใจธรรมะเราจะต้องเป็นผู้ปรับปรุงสังคมด้วย ผู้ที่จะปรับปรุงสังคมนั้น คือ ผู้ที่จะเข้าไปทำให้สังคมเจริญในทางที่ดี ไม่ใช่คล้อยตามสังคม อาตมาจึงว่า เขาเมืองตาหลิ่ว ไม่ต้องหลิ่วตาตาม

ส่วนมากที่เราเข้าไปในงานเลี้ยงอะไรก็แล้วแต่สมัยนี้เขาชอบกินเหล้ากัน เมื่อเขาเรียกให้เรากิน เราบอกว่าเราไม่กิน เขาก็ต้องถามว่าเพราะเหตุใดเราจึงไม่กิน เราจะแสดงวาจาอะไรออกไป เราก็ต้องคิดให้ดีเสียก่อน ดูซิว่าพวกนั้นเมากันขนาดไหน ถ้ามันเพิ่งตึง ๆ เราก็อาจพูดว่า การกินสุราเมรัยนั้น ท่านก็ย่อมรู้ว่าสุราเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าเป็นสิ่งดี ศีลห้าย่อมไม่บัญญัติไว้ เช่น บุคคลหนึ่งเป็นคนสุภาพอ่อนหวานเป็นคนที่ดีไป ๆ มา ๆ ก็ลงเจ้าเตี้ยทุกที เจ้าเตี้ยเมื่อมันยังไม่กินเหล้าดูมันสุภาพมันพูดดี แต่พอมันกินเหล้ามันพูดอะไรก็ไม่รู้ มันพูดแหง๋ว ๆ การกินเหล้านี้ทำให้เราเมาขาดสติ บางครั้งปฏิบัติการอะไรลงไปมันก็ทำให้ได้ผลไม่ดี ถ้า เราเป็นเช่นนี้เราจะเข้าสังคมใดก็แล้วแต่ย่อมจะได้คำว่าเป็น คนขี้เหล้า คำว่า ขี้นี้เป็นคำที่ไม่ดีทั้งนั้น ขี้เหล้า ขี้เล่น ขี้เกียจ สิ่งที่ไม่ดีรู้สึกว่าทุกคนคำมีแต่คำว่า ขี้เช่นนี้ทั้งนั้น คนขี้เหล้า คนขี้เล่น คนขี้บุหรี่ คนขี้กัญชา คนขี้ฝิ่น สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีมันจึงใช้เป็นคำขึ้นต้นสมมุตินามของคำพูดมนุษย์ หลักของภาษาสยามมันก็ขึ้นต้นด้วย ขี้เพราะฉะนั้นเราจะต้องคิดปรับปรุงให้ตัวเราเป็น แก้วไม่ใช่เป็น ขี้ เราจะทิ้งสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ได้ไหม

ทุกคนที่มีการติดต่ออยู่ในสังคม อาตมาอยากจะให้ทุกคนหลังจากทำงานทุกอย่างเสร็จแล้ว คือหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใครให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตูการณ์ที่เราทำไปแต่ละวัน ๆ ว่าที่เราทำไปนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างไร สิ่งนั้นเป็นอย่างไร ทำถูกต้องหรือไม่ แล้วลงเอยด้วยรูปอย่างไร ปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาเรื่องของตัวเองอย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์ส่วนมากทุกวันนี้มันเอาแต่เรื่องคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

เพราะฉะนั้นเราจงหาเวลามองตัวเอง แล้วเราก็จะได้ทำอะไรผิดพลาดให้น้อยลง คือผิดพลาดน้อยโดยที่เราคิดเสร็จแล้ว คิดอย่างใจเย็น ๆ ว่า สิ่งนี้ผิดเราจะต้องกาลงไปว่าผิด แล้วเราจะปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้น ถ้าเราผิดเราควรแก้ตัวใหม่ ไม่ใช่พอทำสิ่งนี้ผิดแล้วก็บอกว่า...เอ้อไม่ผิด ของเราถูก มันก็เข้าข้างตัวเราเอง การติดต่อกับสังคมใดก็ดีการเข้าสังคมใดก็ดี ควรยึดหลัก ๒ ประการนี้คือ

หนึ่ง เราจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมนั้น

สอง เราจะต้องเป็นผู้ปรับปรุงสังคมนั้นให้ดีขึ้น

นักการค้าที่ดี นักการเมืองที่ดี นักธุรกิจที่ดี ควรจะสังวรในข้อนี้ เพราะว่ามนุษย์เราทุกคนนั้นมีอายุอยู่ในโลกนี้ไปได้ไม่นาน ที่เขาเรียกว่า มนุษย์สัมพันธ์ก็คือ มนุษย์จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อาตมภาพมาสัมพันธ์กับมนุษย์ ก็เพื่อที่จะมาช่วยเหลือมนุษย์ในเรื่องบางอย่างพวกเจ้าก็ต้องช่วยเหลืออาตมาให้สำนักนี้ตั้งอยู่ได้เพื่อที่จะได้ปรับปรุงตบแต่งสังคมปัจจุบัน ให้พวกเจ้าไปคิดกันเอาเอง

โดยเฉพาะอย่างนิ่ง เราจะต้องพยายามทดลองเข้าไปคุยกับคนนี้ ที่เขาคุยออกมามีอะไรเป็นหลัก อะไรเป็นขยายความ แล้วนั่นและจะเป็นการลับปัญญาของเรายิ่ง ๆขึ้นไป เราจะได้ทำอะไรไม่ผิด ทุกสิ่งทุกอย่างให้สังคมมนุษย์ปัจจุบันเสื่อมลงมาก มันกำลังไปสู่อบายภูมิ ปัจจุบัน เป็นเวลาแห่งกลียุค

อาตมาขอกล่าวเพียงแค่นี้ ขอให้พวกที่ฟังในวันนี้กลับไปใช้สัญชาตญาณการเป็นปุถุชน รู้จักพิจารณาหาเหตุผลและปฏิบัติตาม ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข

                                                                             เจริญพร

Contribute!
Books!
Shop!