E-book สวรรค์รำลึก

รำลึกศึกษา

ศึกษาประวัติของหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในอดีต

ร้านหนังสือสวรรค์รำลึก

เยี่ยมชมเรา

สื่อมงคลสำนักปู่สวรรค์

สิ่งดีที่ฝากไว้ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ความรู้ทางวิญญาณ จากการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ภาพยนต์รำลึก

ชมภาพยนต์ประวัติศาสตร์และสื่อเพื่อการศึกษาค้นคว้า

หลวงปู่ทวด-โลกนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าใคร

A-loungpoo

โลกนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าใคร

ว่าตามความจริงของธรรมชาติของธรรมะแล้ว ไม่มีใครใหญ่ ต้องผลัดกันใหญ่ จึงจะเป็นส่วนรวมได้ และจะต้องรู้จักคำว่า ใหญ่ในที่ใดเรียกว่ารู้จักในกาลเทศะอย่างเช่น เราจะไปเรือ ในขณะนั้นใครใหญ่ที่สุดในเรือท่านรู้ไหม นายท้ายเรือใหญ่ที่สุด เพราะว่าชีวิตเราอาศัยอยู่กับเขา เขาเป็นคนขับเรือ เพราะฉะนั้นการที่วางตัวเป็นใหญ่ในสังคมก็ดีในการที่เป็นใหญ่ในโลกมนุษย์ก็ดีต้องรู้จักกาลเทศะ

เราอยู่ในบ้าน ใครใหญ่ บิดามารดาใหญ่ เราอยู่ในที่ทำงาน ผู้ร่วมงานเหนือเราใหญ่ เราอยู่ในโรงเรียนเราเป็นครูย่อมใหญ่กว่านักเรียน แต่ถ้าท่านดูให้ทั่วแล้ว ไม่มีใครใหญ่ผลัดกันใหญ่ต่างที่ คือเทศะประเทศ ผลัดกันใหญ่ต่างกรรมคือการงานที่ทำ ผลัดกันใหญ่ต่างวาระคือกาลเวลา ถ้าคนเรารู้จักใช้ความพิจารณาก็ไม่เกิดการทะเลาะและอิจฉากัน

ทุกวันนี้โลกมนุษย์ยุ่งเหยิงก็เพราะว่ามนุษย์พิจารณาในตัวตน ไม่คิดถึงการ เป็นใหญ่ ว่าเป็นอย่างไร

ใหญ่ถูกที่               คือใหญ่ให้เหมาะสมกับสถานที่

ใหญ่ถูกกาละ   คือใหญ่ให้เหมาะสมกับเวลา

วางตนถูกเทศะคือให้เหมาะสมกับสถานที่

คำพูดต้องถูกกาละ     คือให้เหมาะสมแก่เวลา  

         เพราะว่ามนุษย์เรานี่คนพูดมีทัศนะอย่างหนึ่ง คนฟังมีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ย่อมไม่เหมือนกัน นานาจิตตัง คือคนพูดมีเจตนาดี แต่คนฟังเข้าใจในทางเจตนาร้ายก็ได เพราะว่าคนฟังมีอกุศลและกิเลสติดอยู่ในตน คือมีอกุศลอารมณ์เกลียดคน ๆ นั้นอยู่ ก็ย่อมปรุงใจไปสู่ทางที่ไม่ดีในทางที่ผิด แต่ถ้าคนฟังมีเจตนารมณ์รักใคร่คนพูดมีเจตนาบริสุทธิ์ต่อคนที่พูด คำพูดของคนนั้น ถึงแม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ดี ก็แปรเจตนานั้นไปในทางที่ดีก็ได้ นี่คือเรื่องของอารมณ์มนุษย์

ในการที่เราจะทำงานใหญ่ เราจะต้องวางตนให้ใหญ่ถูกที่ถูกกาลเทศะ คนเราถ้าพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว โลกนี้ไม่มีอะไรใหญ่ เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เป็นผู้มีกรรมพัวพันกันในอดีต แผ่นดินนี้ไม่มีขอบเขตที่กั้น ถ้ามนุษย์ไม่แบ่งกัน ทุกคนที่เกิดเป็นสัตว์โลกที่เกิดมาใช้กรรม ถ้าทุกคนพิจาณาให้ซึ้งถึงธรรมะอันแท้จริงขององค์สัมมาสัมพุทธโคดมแล้ว ความสันติสุขย่อมเกิดขึ้นในโลกมนุษย์

แต่ทุกวันนี้ ความสันติสุขในโลกมนุษย์ไม่มี เพราว่าทุกคนไม่ยอมพิจารณาให้ถ่องแท้ในธรรมะว่า ความจริงนั้นสัตว์โลกทุกคนมีกรรมพัวพันกันมาไม่ว่าจะเกิดเป็นฝรั่งเป็นจีนหรือเป็นแขก หรือชาติอะไรก็แล้วแต่ล้วนแต่เกิดเป็นคนเพื่อมาใช้กรรมทั้งสิ้น ขอบฟ้านี้ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ยิ่งยุคนี้เป็นยุคก้าวหน้า มีนกเหล็กบินได้ บินประเดี๋ยวเดียวก็ถึงประเทศโน้นประเทศนี้ ไม่เห็นมีอะไรมากั้นเขตแดนว่าเป็นประเทศใด เพียงแต่มาสมุติกัน มาแบ่งกันมาถือกัน มาอวดฉะนั้นการเป็นคนนี่ท่านจะต้องรู้จักการพิจารณาตน ท่านต้องรู้จักจับอารมณ์ แล้วจะไม่มีอะไรที่น่าติดน่ายึด ที่คนอื่นเค้าว่าเรา ถ้าคนฟังมีสมองเขาก็จะต้องคิดว่าคนที่ว่าคนนี้ใช้ไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าคนดีเขาไม่เที่ยวด่าคน นี่เป็นหลักความจริงและคนที่มีสมองมีความคิดเขาจะต้องมีความรู้สึกนึกคิดว่าคน ๆ นี้พอลับหลังก็ว่าคนนี้คนนั้นได้ถ้าเราฟังเขาเราเชื่อเขา หลังจากที่เขาจากเราไป เขาไปเจออีกคนหนึ่งเขาจะไม่ด่าเราหรือนี่สำหรับคนที่มีปัญญาของการเป็นคน แต่ถ้าปัญญาที่ไม่ได้เป็นคนแล้วก็ถือคำด่า คำชม เป็นหลัก

เพราฉะนั้นผู้ที่มาในสถานที่นี้ควรทราบว่าอาตมาเป็นประธานที่เขาเรียกว่า เป็นประมุขของสำนักปู่สวรรค์ อาตมาใช้คำว่า นิ่งเสียโพธิสัตว์เป็นตัวอย่าง เมื่อเราจะมาเป็นลูกศิษย์พระโพธิสัตว์กันแล้วเราควรจะมี จิตแห่งความนิ่งเสียบ้าง คือไม่มีการถืออารมณ์ใดๆ เป็นหลัก อารมณ์ของการชมไม่ใช่สิ่งที่ดี คำชมก็จับออกมาดูไม่ได้เพียงแต่เป็นอารมณ์ของอายตนะที่ผ่านไป คำชมหรือคำด่าก็จับออกมาดูไม่ได้ เพียงแต่เป็นอารมณ์ของอายตนะที่ผ่านไปว่าเป็นคำด่า เพราะฉะนั้นคำสรรเสริญหรือคำนินทาถ้าเรายึดไว้เป็นหลักแล้ว จิตก็ย่อมไม่สงบ เราก็มีความสงบของจิตได้ เมื่อจิตสงบได้ดีก็เกิดความประภัสสร เมื่อเกิดความประภัสสรก็เกิดปัญญา ปัญญาที่ดีก็ทำให้จิตอิ่มเอิบ จิตอิ่มเอิบก็ทำให้ร่างกายผ่องใส ไม่มีทุกข์ไม่มีร้อน

ดังที่ทุกวันนี้เกิดความทุกข์ความร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโน่นยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่คณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม ถ้าเป็นอาตมาแล้วมีความเห็นว่าสากลจักรวาลโลกมนุษย์นี้ ทุกคนมีกรรมจึงมาเกิดเป็นสัตวโลก สัตวโลกทุกคนจะต้องใช้กรรมตามวาระตามกรรม ถ้าทุกคนจะถืออารมณ์ก็เกิดการเข่นฆ่า เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดอายตนะ

สิ่งเหล่านี้แหล่ มนุษย์ไม่สอนไม่พูดไม่พิจารณากันจึงทำให้เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นในโลกมนุษย์มากขึ้น ฉะนั้นท่านที่จะมาเป็นสาวกของอาตมา เป็นสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ ซึ่งอาตมาเป็นประธานอยู่นี้ ท่านจะต้องมีอารมณ์นิ่งเสียบ้างแล้วจะดี ถ้าท่านไปติดในคำนินทา ติดพรรพวก ติดหมู่คณะ ติดอะไรต่าง ๆ จะมีความสำเร็จความสามัคคีของงานไม่ได้ในโลกนี้ถ้าไม่มีการพูดกัน ก็ยิ่งแคลงใจกันมาก นี่เป็นธรรมดาของโลก

แม้แต่ศตรูของเราก็ดี ถ้าเราเข้าไปคุยกับศัตรูด้วยการยิ้มแย้มแจ่มใส และด้วยความบริสุทธิ์ของจิต ศัตรูคู่อริก็จะกลายเป็นมิตรได้ นี่เป็นธรรมดาของธรรมชาติที่คนติดอารมณ์ แต่ถ้าท่านถือหลักแห่งความจริงของธรรมชาติแห่งธรรมมะแล้ว ย่อมไม่ติดอารมณ์ เมื่อท่านไม่มีอารมณ์อารมณ์ยึดคำว่า สรรเสริญ นินทา ก็ไม่เห็นมันโผล่ออกมาให้ดูว่า นี่เป็นคำสรรเสริญ นี่เป็นคำนินทา เพียงแต่เป็นอารมณ์ที่มากระทบอายตนะหูเท่านั้น

อารมณ์อันนี้ เกิดจากอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ภายในแสดงออกทางปาก มากระทบหูของเราให้เราฟัง เมื่อเราฟังแล้วเก็บมาปรับปรุงก็เกิดความฮึกเหิม ถ้าเราไม่ปรุงก็จะสบายใจ เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะเป็นคนที่มีอายุ วรรณะ ผิวพรรณ ผ่องใสก็อย่าไปถืออารมณ์ของคนอื่นมาปรุง จะต้องพิจารณาให้ท่องแท้ว่า สิ่งใดทำไปแล้วสัตวโลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือหลักความจริงของธรรมะ

อาตมาไม่อยากเทศน์ เพราะว่าเทศน์ไปแล้วก็เสีย เพราะเทศน์ไปแล้วก็อย่างนั้น มนุษย์ยังยึดกันมาก

แม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทรไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำฉันใดกิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุดฉันนั้น

ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกัน ย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

เพราะฉะนั้นเมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมมะในชมพูทวีป พระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่กลัวคนแข็งกระด้างพระองค์ไม่กลัวมหาโจร พระองค์ไม่กลัวคนเคยชิน แต่พระองค์กลัวคนมีอุปนิสัยสันดานเดิม สันดานเดิมของคนที่เกิดมาเป็นสัตวโลกย่อมไม่เหมือนกัน ย่อมมีกรรมย่อมมีภาวะ ย่อมมีอะไร ๆ เฉพาะตน เพียงแต่ว่า เขายอมพิจาณาตัวเองเกลาสันดานของตัวเองหรือไม่ เพราะว่าสันดานนี่นะ ให้ใครขัดเกลาไม่ได้ เปรียบเสมือนหนึ่งคนที่ท้องหิว ไม่มีใครรู้ว่าท่านหิว ต้องตัวท่านเองจึงจะรู้ว่าหิว เมื่อตัวท่านรู้ว่าท่านหิว แต่ท่านไม่อ้าปาก เขาใส่ข้าวไปในปากของท่านได้ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องสันดานของคนจึงเป็นเรื่องที่แก้ยาก ตามพุทธพจน์ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่กลัวคนเคยชิน พระองค์ไม่กลัวสตรี แต่พะรองค์กลัวคนที่มีสันดานเดิมที่นอนนิ่งเกาะกินอยู่มาเป็นกัป กัลป์ แห่งชาติ

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะดัดสันดานเดิมของตนที่ไม่ดี จะต้องหมั่นพิจารณาตนเองจึงจะได้ผล และดัดสันดานที่ไม่ดีได้

โอวาทหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) เมื่อ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๖

Contribute!
Books!
Shop!