หลวงปู่ทวด-โอวาทในพิธีบุชาครู ครบรอบ 12 ปี
- Details
- Category: โอวาทหลวงปู่
- Published on Thursday, 24 May 2018 16:36
- Written by Super User
- Hits: 1719
พระโอวาทในพิธีบูชาครูครบรอบปีที่ ๑๒ ของสำนักปู่สวรรค์ วันวิสาขบูชา
วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐
คุณวสันต์ บูรณะพิมพ์ –บัดนี้ ดวงพระวิญญาณหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ผ่านร่างอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ได้เข้าประทับ ณ ที่ประทับเสด็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ท่านศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล ได้ถวายพานดอกไม้ธูปเทียนแพเพื่อเป็นเครื่องสักการะและก็จะอ่านคำถวายสักการะแด่หลวงปู่
ดร.คลุ้ม วัชโรบล – ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวคำสดุดีบูชาหลวงปู่ ในงานพิธีไหว้ครูวันวิสาขบูชา
ที่ ๑ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๕๒๐
กราบทูลหลวงปู่ที่เคารพบูชาอย่างสูงสุด สานุศิษย์และสาธุชนทั้งหลายมีความรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันวิสาขบูชาได้เวียนมาถึงอีกวาระหนึ่งในวันนี้ เพราะได้มีโอกาสเฝ้าหลวงปู่ซึ่งเสด็จมาโปรดสัตว์ในภาวะของสังขารที่สานุศิษย์และสาธุชนทั้งหลายจักได้กุศลทั้งในด้านรูปธรรมและนามธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคติธรรมของไตรลักษณ์ ยิ่งกว่านี้เป็นวันที่สำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์ได้มีอายุครบ ๑๒ ปี ที่เป็นเป้าหมายในการปฏิบัติงานต่อไปด้วย เพราะบางท่านอาจจะอยู่รับใช้งานได้ไม่ถึง ๑๒ ปี หรือบางท่านอาจจะอยู่ไปได้ถึง แต่ไม่ทำงานจดจ่อก็เลยไม่ครบจนกระทั่งจะต้องกลับไปโลกวิญญาณ
ในรอบปีที่ผ่านมาแล้ว สานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ด้วยพระเมตตาบารมีของหลวงปู่ ได้ดำเนินงานอันเป็นพระเมตตาบารมีของหลวงปู่ ได้ดำเนินงานอันเป็นคุณประโยชน์แก่มนุษย์ชาติอย่างมหาศาล กล่าวคือ การสร้างปูชนียวัตถุอันสำคัญยิ่งขึ้นที่อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ได้แก่ พระพุทธถวายเนตรนิรภัยทุกทิศอันเป็นพระพุทธรูปปางถวายเนตรสูง ๙ เมตรและจัดงานพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุมากที่สุดในโลก ณ สันติเจดีย์ เป็นมหกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยกระทำกันมาก่อนในโลกมนุษย์และสาธุชนโดยทั่วหน้ากัน นอกจากการดำเนินการดังกล่าวแล้ว ด้วยพระเมตตาบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ได้ทรงช่วยบรรเทาสถานการณ์ของประเทศไทยให้เบาบางลงหลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่บางครั้งสานุศิษย์ไม่อยู่ในข่ายที่สมควรจะได้กระแสแห่งพระเมตตา หลวงปู่ก็ได้ประทานเมตตาแก่สานุศิษย์อย่างที่มนุษย์และเทวดาไม่เคยได้รับเช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งสานุศิษย์และสาธุชนทั้งหลายได้มีชีวิตมาด้วยดีดังเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ พระคุณของหลวงปู่จึงมากล้นเหลือคณา
ด้วยความสำนึกในพระเมตตาคุณดังกล่าวแล้ว สานุศิษย์ทั้งหลายจึงขอน้อมนำมาซึ่งเครื่องสักการบูชานี้ถวายแด่หลวงปู่ เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูกตเวทีในนามของสานุศิษย์ทุกคน ตลอดทั้งสาธุชนทั้งหลายซึ่งมาชุมนุมกันในวันนี้ ด้วยความคารวะอย่างสูงสุด ส่วนการปฏิบัติงานและความประพฤติของสานุศิษย์บางคนทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ที่มีอันเป็นไปในทางที่ใกล้กับการไม่มีสัจจะนั้น สานุศิษย์ก็ไม่มีอะไรที่จะแก้ตัวนอกจากการกราบทูลขอขมาต่อหลวงปู่พร้อมทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรมอีก เช่นเคย เนื่องจากการขัดเกลากิเลสของสานุศิษย์ยังไม่ถึงขั้นที่ดีพอ อย่างไรก็ดีสานุศิษย์ใคร่ขอพระเมตตาบารมีหลวงปู่ โปรดทรงรับเครื่องสักการะอันสานุศิษย์น้อมนำมาในวันนี้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่สานุศิษย์ทั่วกัน และขอได้ทรงโปรดประทานศาสโนวาท ตามควรแก่ภูมิธรรมของสานุศิษย์ต่อไปด้วยเทอญ
คุณวสันต์ บูรณะพิมพ์ –ท่านศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล ได้กล่าวคำคารวะต่อหลวงปู่แล้ว ต่อไปนี้เป็นพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)
หลวงปู่ –เจริญพร สานุศิษย์และสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายที่มาในที่นี้ก็ดี ที่ไม่ได้มาในที่นี้ก็ดี ซึ่งนับว่าเป็นวาระอันดีของท่านและเป็นวาระของกฎแห่งสังสารวัฎ คือ เป็นวันแห่งสมมติวิสาขบูชาได้เวียนว่ายเปลี่ยนแปลงตามวาระมาถึงปัจจุบันนับตั้งแต่
องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็เป็นเวลาสองพัน
ห้าร้อยยี่สิบปี
ทำไมอาตมาจึงใช้คำว่า ตามกฎแห่งสารวัฎ ท่านจะเห็นว่าวิสาขะปีที่แล้วกับวิสาขะในปีนี้ วันแห่งสมมติในโลกมนุษย์ก็ไม่ตรงวันกันไม่ตรงเดือนกัน ไม่ตรงปีกัน นั่นคือการเคลื่อนไหวของสังสารวัฎ เป็นสิ่งสมมติการวัด และได้ฟังท่านประธานผู้แทนสานุศิษย์ทั้งหมดของการบูชาครูในวันนี้ก็รู้สึกว่าท่านทั้งหลายได้มีความเป็นมนุษย์ที่ดี เพราะการเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นจำเป็นที่จะต้องรู้บุญรู้คุณของครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้จัดพิธีการสักการะบูชา รู้บุญ รู้คุณของครูบาอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง เป็นการแสดงว่า ท่านยังมีจิตใจแห่งคุณธรรมของการเป็นมนุษย์ที่แนบแน่นอยู่ในกมลสันดาน คือ รู้กาละ รู้เทศะ รู้ความว่าเราจะต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ไม่หลบหลู่ครูบาอาจารย์ มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมที่จะมีความเจริญในชีวิต
ทีนี้วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวาระหนึ่งของสำนักปู่สวรรค์ที่ได้ตั้งขึ้นใน
โลกมนุษย์ เป็นวันแห่งการครบ ๑๒ ปี เรียกว่าเป็นวันครบ ๑ รอบของการสมมติ
ถ้าพูดในวิธีการของมนุษย์แล้ว เขาจะถือว่าหนึ่งรอบเป็นวันแห่งการเริ่มต้นของชีวิตแห่งการอยู่รอดของมนุษย์
รอบที่ ๒ เป็นวันแห่งการเริ่มต้นของชีวิตแห่งการเป็นมนุษย์
รอบที่ ๓ เป็นการที่เรียกว่ามนุษย์พอที่จะทำงานได้
แต่ว่านั่นเป็นการนับของมนุษย์ นั่นเป็นการสมมติบัญญัติในอายุขัยแห่งการเป็นมนุษย์ ถ้าพูดในลักษณะการทำงานในหนึ่งรอบของสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์นั้น ท่านทำรายงานกันจริง ๆก็ไม่กี่ปี แล้วมานับในลักษณะของวัตถุ นับในลักษณะของกิจการแล้วมันเป็นสิ่งที่เดินกันไวกว่าไหน ๆ ภาษาชาวบ้านเขาว่ายังเป็นเด็กแต่ก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่จะได้รับการติฉินนินทา เกิดการอิจฉาขึ้นในจิตของมนุษย์อันเป็นกฎธรรมดาของสังสารวัฎ
ทีนี้ถ้าพูดในเรื่องของท่านที่ขอขมาในเรื่องการทำงานนั้น อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่เคยถือในเรื่องของการทำงานตามหลักการเพราะอะไรเล่า เพราะมนุษย์เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ เขาแบ่งมนุษย์เป็น ๒ จำพวก
จำพวกที่หนึ่ง เขาเรียกว่าเป็นอริยบุคคล มนุษย์ที่เป็นอริยบุคคลหรือสำเร็จทางจิตแห่งการเป็นอริยะแล้ว มนุษย์เหล่านี้เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว คือ ผู้ที่ถืออริยจิต ผู้ที่สำเร็จทางจิตเป็นอริยบุคคลเขาจะซ่อนเร้นกายเพื่อหาทางไปสู่วิเวกหาทางไปอยู่ป่าหาทางที่จะไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หาทางที่จะไม่มายุ่งกับสังคมของสัตวโลก หาทางบำเพ็ญจิตตนให้หลุดพ้นไปสู่ทางนิพพาน นั่นคือ พวกอริยะ
แต่มนุษย์อีกจำนวนหนึ่ง เขาเรียกว่า ปุถุชน มนุษย์จำพวกปุถุชนย่อมมีกระแสจิตที่อยากทำโน่นทำอยากทำนี่ อยากนั่นอยากนี่ อยากโน่น อยากรวยอยากอะไรอื่น ๆ มนุษย์เหล่านี้แหละจะเป็นมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับกับสังคมเกี่ยวข้องกับมนุษย์เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้นการทำอะไรของปุถุชนสามัญก็ย่อมมีกระแสจิตแห่งการขึ้นบ้าง ตกบ้าง ศรัทธาบ้าง จดจ่อบ้าง ไม่จดจ่อบ้าง วันนี้สบายใจ พรุ่งนี้ไม่สบายใจฉันคิดจะทำพรุ่งนี้ วันนี้ฉันอยากจะนอน เป็นต้น นั่นเป็นกระแสจิตของปุถุชน
เพราะฉะนั้น สังคมที่เกิดความวุ่นวายนั้นเกิดจากกระแสจิตของปุถุชนในกลุ่มของสาธุชน ในกลุ่มของปุถุชนนั้นยังแบ่งอีกเป็นหลายจำพวก คือ ปุถุชนมีระดับจิตอยู่ ๓ ระดับ
$1(๑) ปุถุชนระดับที่หนึ่ง คือ ปุถุชน “เหนือเกียรติเหนือกาม” ก็คือเป็นปุถุชนที่เป็นนักบวชนักพรต เพียงแต่เป็นนักบวชนักพรตนั้นยังไม่ได้เป็นอริยบุคคล บางทียังคิดอยากเป็นเจ้าคุณบ้าง บางคนก็อยากเป็นใหญ่เป็นโต บางคนก็คิดอยากจะได้พัดยศ
$1(๒) ปุถุชนระดับที่สอง คือ ปุถุชน “หาเกียรติเสพกาม” ก็ย่างเช่นพวกท่านที่เข้ามารับใช้สำนักปู่สวรรค์ รับใช้ศาสนาทั่วไปก็ยังหาเกียรติเสพกามกันอยู่
$1(๓) ปุถุชนระดับที่สาม คือ “ปุถุชนจำพวกไม่ใช้สมองยังเป็นปุถุชนที่ตกอยู่ในกมลสันดานแห่งการเป็นสัตว์ คือ “เสพกามแล้วข้องอยู่แต่ในกาม” ปุถุชนเหล่านี้แหละเป็นปุถุชนที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนในสังคมของการเป็นมนุษย์
เพราะฉะนั้นการเป็นสังคมโลกที่เกิดเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นเหล่า เป็นศาสนาก็เป็นโลกที่เกิดจากกลุ่มปุถุชน แต่อย่างไรก็ตาม การเป็นปุถุชน ถ้าเป็นปุถุชนจำพวกที่ ๑ คือ เหนือกาม เหนือเกียรติ ปุถุชนจำพวกที่ ๒ คือเสพกามหาเกียรติ มีทางที่จะยกระดับจิตของตนไปเป็นอริยบุคคลได้ คือหลุดพ้นในสังสารวัฏ และปุถุชนจำพวกที่อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเหนือเกียรติเหนือกามและเสพกามหาเกียรติปุถุชนเหล่านี้แหละอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าบำเพ็ญการเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ฉะนั้นอาตมาจึงยังไม่ถือว่าพวกท่านเป็นพวกที่ไม่ดี คือยังเป็นพวกที่ดียังไม่ได้ตกอยู่ในจำพวกที่ ๓ คือ เสพกามแล้วยังข้องอยู่ในกาม ไม่รับรู้อะไร แล้วก่อความวุ่นวายในสังคมมนุษย์
เพราะฉะนั้น ท่านที่จะช่วยงานของสำนักปู่สวรรค์ก็ยังตกอยู่ในจำพวกที่ ๒ เรียกว่า
เสพกามหาเกียรติก็ย่อมจะเป็นจิตธรรมดาของปุถุชน คือวันนี้สบายใจก็มาสำนักพรุ่งนี้ถ้าแรงดึงดูดของจุดอื่นเหนือกว่าก็ไปที่นั่น นี่ปรากฏธรรมดาของปุถุชน อันนี้เทพพรหมย่อมรู้และให้อภัย แต่ว่าท่านต้องเข้าใจว่าจิตของปุถุชนย่อมที่จะอ่อนไหว ย่อมที่จะคล้อยตามในสิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ในสังคมที่เข้าไปอยู่เพราะฉะนั้นท่านมายุ่งอยู่ในสังคมของปู่สวรรค์แล้วท่านก็ควรจะพยายามมามาก ๆ เพื่อที่จะดึงท่านออกจากสังคมของปุถุชนระดับที่ ๓ อันเป็นสังคมอบายภูมิที่วุ่นวายที่สุด ซึ่งเสพกามแล้วข้องอยู่ในกาม
เพราะฉะนั้นวันนี้ก็นับว่าเป็นนิมิตดี ที่ท่านทั้งหลายได้จัดพิธี และก็ได้มากันเป็นจำนวนมาก สำหรับผู้ที่ไม่ได้มาก็รู้สึกว่าเขาได้ส่งกระแสจิตส่งปัจจัยมาอนุโมทนาในกิจการของสำนักปู่สรรค์ที่ครบรอบ ๑๒ ปี ในโลกมนุษย์ถ้าเราพูดในลักษณะแล้วก็เป็นงานที่เริ่มก้าวเท่านั้น แต่ว่า พวกท่านก็บอกว่าแย่แล้ว เหนื่อยกัน ๑๒ ปีแล้ว แต่นับว่าในโลกวิญญาณเพียง ๑๒ วันเท่านั้น เขาก็ยังบอกว่าเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง คือท่านบอกว่างานแค่นี้ พวกท่านบอกว่าจะไม่ไหว แต่ทางโลกวิญญาณเขาว่านี่เด็กเพิ่งหัดเดินเท่านั้น เพราะฉะนั้นในการทำงานที่จะโกยสัตว์โลกที่กำลังอยู่ในทะเลแห่งความบ้าคลั่ง เช่น มนุษย์ที่กำลังสะสมวัตถุไว้ที่จะทำลายซึ่งกันและกันเราจะทำอย่างไรให้มนุษย์เหล่านั้นหันเข้ามายกระดับจากปุถุชนชั้นที่ ๓ คือ ปุถุชนที่เสพกามและข้องอยู่ในกามขึ้นมาเป็นปุถุชนแห่งการเสพกามหาเกียรติ หาเกียรติก็คือหันมาจับธรรมาวุธเพื่อให้เกิดสันติ ไม่ใช่จับอาวุธที่เข่นฆ่า นี่คืองานที่ทำให้เกิดสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์ขึ้น
ท่านทั้งหลายก็ได้กล่าวบูชาครู แล้วก็ขอขมาครู อาตมาก็ขอบอกว่าทุกอย่างอาตมา ไม่มีจิตแห่งการพัวพัน และมีอภัยทาน มีเมตตาธรรมเสมอ ฉะนั้นก็คิดว่าในการกระทำของท่านในวันนี้เป็นการกระทำที่ดีแล้วของการเป็นปุถุชนจึงขออนุโมทนาในกุศลจิตที่ท่านทั้งหลายได้มาฟังและขอให้ท่านทั้งหลายที่ได้มาในที่นี้ ที่ส่งกระแสจิตมาก็ดี ที่เพียงแต่แลมานิดหน่อยก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายมีกระแสจิตแห่งความเข้มแข็งในการยกตนให้พ้นจากปุถุชนชั้นที่ ๒ ขึ้นไปเป็นปุถุชนชั้นที่ ๑ คือเหนือกามเหนือเกียรติ และก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีชีวิตอยู่อย่างสันติสุขในโลกมนุษย์ และสันติสุขแห่งการเป็นมนุษย์ เพื่อบำเพ็ญตนไปสู่สิ่งที่ปรารถนา คือ มนุษย์สมบัติ นิพพานสมบัติ สวรรคสมบัติเถิด
เจริญพร