หลวงปู่ทวด-การทำงานย่อมมีอุปสรรค
- Details
- Category: โอวาทหลวงปู่
- Published on Monday, 07 July 2014 06:25
- Written by Super User
- Hits: 4544
การทำงานย่อมมีอุปสรรค
การทำงานทุกอย่างต้องมีความแน่วแน่ มีความจดจ่อ “งานสำคัญงานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคทั้งนั้น” ไม่ว่างานอะไรและงานที่จะราบรื่นไม่มีหรอก แม้แต่สมัยพุทธกาล ถ้าท่านศึกษาประวัติจริงๆให้ดี จะเห็นได้ว่าตอนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนาที่ไหน คนก็นับถือกันเลยหรือ พระองค์ต้องต่อสู้ด้วยขันติบารมี ต้องใช้ความสุขุม งานทุกอย่างต้องดำเนินตามแผนที่สอนให้ถึงวิมุติธรรมได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าได้รับความเชื่อมั่นหมดทั้งชมพูทวีป เพราะฉะนั้นคนที่จะพิจารณาก็ควรพิจารณาให้รอบคอบ
ทุกอย่างเป็นสัจจะของโลก สัจจะของกฎแห่งกรรมที่วิบากกันมาเป็นกัปๆกัลป์ๆ ซึ่งเป็นกฎของสังสารวัฏ งานทุกอย่างในโลกนี้จะต้องมีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุน เขาเรียกว่าโลกียะกับโลกุตระเดินคู่กัน งานทุกอย่างจะราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรคก็ไม่ใช่งานใหญ่และไม่ใช่งานสำคัญ
ทีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานที่ขัดกับกระแสแห่งโลกปัจจุบัน เช่นการตั้งอุดมการณ์ ๑๐ ประการของสำนัก เพื่อต้องการให้มีความเสมอภาคของฐานันดรภาพทางศาสนา โดยไม่แบ่งแยกกัน ซึ่งเป็นการขัดกับทิฐิของมนุษย์ปัจจุบัน ที่ยึดติดนิกายของศาสนากัน เช่นยึดโปรเตสแตนท์ คริสตัง คริสเตียน และโซโลมอน เป็นต้น
พวกที่มีทิฐิก็หาว่าเรานี่เป็นคนที่ภาษาชาวบ้านเขาว่า “ไม่มองกะลาหัวตัวเอง” คิดแต่ว่าทำงานใหญ่ ความคิดเช่นนี้เป็นนานาจิตตัง ผู้ที่จะทำงานต้องมีความจดจ่อและจะต้องใช้สมองกับงานนั้น เมื่อเราตัดสินใจที่จะร่วมเรือลำเดียวกันแล้ว
ปัญหาหนึ่งก็คือว่า ท่านต้องถามตนเองว่าชีวิตท่านเกิดมาชาติหนึ่ง ท่านต้องการอยู่เพื่อความสุขของตนเอง หรือว่าอยู่เพื่อความสุขของคนอื่น นี่เป็นสิ่งที่ท่านต้องตัดสินใจ เมื่อท่านอยู่เพื่อความสุขของคนอื่นท่านก็ต้องตัด เพื่อหาความสันโดษ ธรรมชาติสร้างให้วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เขากำหนดให้นอน ๘ ชั่วโมง พักผ่อน ๘ ชั่วโมง ทำงาน ๘ ชั่วโมง วันหนึ่งท่านมีเวลาทำงาน ๘ ชั่วโมง ท่านจะเอางาน ๑๐ กว่าเรื่องหรือ ๒๐ กว่าเรื่องที่อยู่ในมือท่านมาทำย่อมไม่ได้ เพราะสมองมันไม่ไป เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่เราควรจะตัด เมื่อเราคิดจะมาทำงานเพื่อคนอื่น อันนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องใช้สมอง
ทีนี้ในงานที่เรียกว่าการสร้างบารมีนี่ จะต้องทำงานที่ยากที่สุดไปหางานที่ง่ายที่สุดไม่ท้อถอย และไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น จุดสำคัญของงานส่วนรวมก็คือ ถ้าท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความเมตตา และด้วยสัจจะแล้ว ทุกอย่างก็จะไปถึงจุดหมาย ไม่ไปถึง ๑๐๐ % ก็ได้ ๗๐% หรือ ๘๐ % และอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวท่านก็ย่อมน้อย เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ความยุติธรรมก็ดี เทวดาก็ดี จะคุ้มครองท่าน นอกเสียจากว่ากรรมของท่านหนักเท่านั้น ความจริงมีอยู่ว่า คนกลัวตาย มักจะตาย คนไม่กลัวตาย มักจะไม่ตาย พวกชิลีมักจะพูดว่า “ใจเราคิดอย่างหนึ่ง แต่พระเจ้าให้สำเร็จอีกอย่างหนึ่ง” ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาของสังสารวัฏ เป็นสิ่งธรรมดาของกฎแห่งกรรม จุดสำคัญล้มแล้วอย่าถอย เมื่อล้มแล้วเราต้องวินิจฉัยความล้มเหลวนั้น แล้วเอาประสบการณ์นั้นมาเพื่อแก้ไขเพื่อไปสู่จุดแห่งความสำเร็จ การเป็นมนุษย์จะบรรลุความสำเร็จได้ด้วยสัจบารมี ฉะนั้นอุปสรรคของการทำงานเพื่อศาสนาในโลกมนุษย์ในขณะนี้อาตมาดูแล้วมันเป็นเพียงเศษละอองเท่านั้น
วิธีการบำเพ็ญของอาตมาสมัยมีชีวิตอยู่ มันลำบากกว่านี้มากนัก คือการเดินทางจากสงขลาไปอโยธยาต้องนั่งเรือใบ แล้วก็อาจจะไปล่มเสียกลางทาง หรือไปอย่างกินเวลาเป็นเดือนๆ ชีวิตฝากอยู่กลางทะเล เมื่อหลังจากอาตมาปลงตกในการที่จะเอาความสำเร็จในด้านนามธรรม อาตมาจะเอาความดีในปรภพ ถ้าอาตมายังขืนบ้ายศเป็นสังฆราชอยู่ ก็คิดว่าจะไม่มีทางหลุดพ้น เพราะว่าสังฆราชจะต้องพัวพันกับโลก พัวพันกับการเมือง พัวพันกับเศรษฐกิจ เมื่อหนีไปอยู่น้ำตกทรายขาว ตอนที่อาตมาไปอยู่ครั้งแรกน่ะ พึงรู้ไว้ว่าน้ำตกทรายขาวในยุคนั้นไม่ใช่เหมือนเวลานี้ ชุกชุมด้วยยุง ชุกชุมด้วยงู ชุกชุมด้วยช้าง ชุกชุมด้วยสิง อาหารการกินก็ไม่มี ไปทรมาน เพื่อค้นพบสัจจะของอะไรบ้าง ตามที่อาตมาศึกษามาเป็นปีๆ อาตมาลำบากขนาดไหน หลังจากนั้นก็เที่ยวไปตามป่าศึกษาไปเรื่อยๆ ไปเจอสิ่งต่างๆ ไปต่อสู้กับสัตว์ที่มันจะทำลายเราบ้าง แทบจะเอาชีวิตไม่รอด เพราะอยู่ในป่าคนเดียว เดินหลงทางบ้าง มาอยู่ที่คาบสมุทรที่เกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ต สมัยนั้นเขาเรียกว่าหนองภูเก็ต มีพวกชาวเลมันอยู่กันไม่กี่ครอบครัว ล้อมรอบด้วยโจรสลัดบ้าง การอยู่ทะเลคนเดียว สิ่งที่ได้มาคือ
ทำให้จิตท่านแข็งแกร่ง ทำให้จิตท่านหลุดพ้น ทำให้จิตท่านสงบ ทำให้มีสติพร้อม
ท่านจะต้องอยู่ในที่วิเวก อันตราย ขัดสนและเต็มไปด้วยไข้ชุกชุมนั่นแหละ จิตจึงจะไปสู่วิมุติได้ แต่ถ้าท่านอยู่ในที่สบายไม่มีทางที่จิตจะหลุดพ้นได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องเข้าป่าวิเวกทำไม เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ จึงมีแต่ชาวพุทธแต่เปลือกเท่านั้น สำเร็จนิพพานสำเร็จอรหันต์กันอยู่แต่ในวัดกรุงเทพ เท่านั้น ดูหนังดูละคร พระเต้นรำกัน พวกอรหันต์หันกันใหญ่ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะฉะนั้นอาตมาจึงบอกว่า “พุทธสาวกที่แท้จริง ในยุคนี้หายาก” ทีนี้เราต้องคิดว่า เราจะต้องใช้วิธีแบบไหน แล้วเราจะต้องตัดสินใจ มีสัจจะแน่วแน่ แล้วก็จะได้รับความสำเร็จแม้ว่าจะไม่เต็ม ๑๐๐ % ก็ตามคงจะได้ประมาณ ๘๐ % ตามภาวะของกรรม
เจริญพร
คัดจากคำเทศน์ของพระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) ที่แสดงไว้เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖