to-มรณานุสติ
- Details
- Category: โอวาทสมเด็จโต_cat
- Published on Sunday, 28 July 2013 12:48
- Written by Super User
- Hits: 3078
มรณานุสติ
สานุศิษย์ : หลวงพ่อสมเด็จฯ ครับ มีคนไข้คนหนึ่งรวยมาก ภรรยาของเขามาเล่าให้ฟังว่า วาระสุดท้ายก่อนจะตายเขาบอกว่าเงินช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ซึ่งตลอดเวลาเขาหาสะสมไว้เป็นล้านๆ กระผมจึงอยากจะให้หลวงพ่อฯ เทศน์สักเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องความตายเพื่อเป็นมรณานุสติ ซึ่งอาจจะเตือนสติผู้มีเงินมากทั้งหลายต่ไม่รู้จักใช้เงินเป็นประโยชน์ในการทำบุญบรรเทากรรม เพื่อเป็นการช่วยตนก่อนที่กรรมจะดึงตนสู่ความตาย เผื่อบางทีอาจจะเป็นการดลใจให้บุคคลที่มีเงินคิดถึงการทำบุญบ้าง
หลวงพ่อสมเด็จ ฯ : เจริญพร คำว่า “ตาย” นี้ ถ้าท่านพิจารณาให้ถ่องแท้ในสภาพแห่งการเป็นคนแล้วไซร้ ท่านจะรู้ว่าท่านนั้นทุกขณะจิตท่านตายและเกิดอยู่ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งอารมณ์แห่งการเข้าออกของลมหายใจของท่านแหล่ตายและเกิดตามสภาวะ เขาเรียกว่าเกิดดับตามสภาพการหายใจของอายตนะ ที่นี้ในด้านกายเนื้อนี้ก็คือว่า เมื่อท่านเห็นเด็ก ท่านต้องพิจารณาว่าในอดีตท่านก็เคยเป็นเช่นนั้น เมื่อท่านสู่วัยฉกรรจ์ ท่านก็ได้คิด เมื่อท่านสู่วัยชราท่านก็ได้นึก
ทีนี้มนุษย์ในโลกทุกวันนี้กลัวความตาย จึงสร้างความยึดไว้ปกปิดความจริงมนุษย์บางคนนึกว่า “เงิน” นั่นสามารถบันดาลทุกอย่างได้ตามที่เขาปรารถนาจึง “ยึด” เมื่อลืมนึกถึงความตายเป็นสรณะจึงได้ทำการโกงและทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทีนี้มนุษย์นั้นท่านอย่าลืม เขาทำการต่อสู้ทุกอย่างเพื่ออะไร? เพื่อความสุขทุกอย่างเป็นหลัก บางคนมีอนุสัยความสุขอยู่กับกามคุณ บางคนมีอนุสัยความสุขอยู่กับการเมาสุรา บางคนมีอนุสัยความสุขอยู่กับการเสียสละ บางคนมีอนุสัยในความสุขอยู่กับการมีวัตถุแวดล้อม สิ่งเหล่านี้คือมนุษย์เรานั้นถือหลักแห่งนานาจิตตัง คือจิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ด้วยความกลัวตายมนุษย์ทั้งหลายได้พยายามสร้างสิ่งศิวิไลซ์ พยายามสร้างวัตถุขึ้นมา โกหกหลอกตัวอง ว่าตัวเองจะยังไม่ตาย โดยเหนียวแน่นในการที่จะทำบุญกุศล ยึดอำนาจเงินเป็นพระเจ้า
ทีนี้ถ้าท่านคิดอีกที เงินซื้ออะไรได้หลายอย่างในโลกมนุษย์ จริงอาตมาไม่เถียง แต่เงินนั้นซื้อความตายไม่ได้ เงินนั้นซื้อการเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เงินนั้นซื้อความรักแท้จากใจจริงของหนุ่มสาวไม่ได้ สิ่งเหล่านี้อารมณ์ในขณะจิตของบุพเพสันนิวาสก็ดี อารมณ์ในขณะจิตเมื่อถึงวาระแห่งการสิ้นอายุขัยก็ดี อารมณ์ในขณะจิตของการบรรลุธรรมก็ดี ต้องอยู่ในการปฏิบัติของกายในกายซึ่งไม่ต้องใช้ทรัพย์ภายนอก เขาเรียกว่า “อริยทรัพย์” มีอยู่ทั่วทุกคนแต่ทุกคนไม่รู้จักค้นอริยทรัพย์ขึ้นมาใช้ จึงเกิดความวุ่นวายโกลาหลทั่วพิภพของโลกมนุษย์ทุกวันนี้
ทีนี้ท่านจะทำอย่างไรเล่าที่จะให้มนุษย์เหล่านี้รู้จักความตาย โดยไม่ให้กอดเงินกอดวัตถุก็คือ ท่านต้องพยายาม แผ่ขยายความตายให้ถึงให้เป็นหลักในสังคมทุกชั้น ถ้าผู้นำทุกๆคนมีมรณานุสติเป็นอารมณ์แล้วไซร้ ความยุ่งยากก็จะไม่มี ความอิจฉาริษยาก็จะไม่เกิด คำว่าไม่พอกินก็จะไม่มี สังคมของความจริงคือความเป็นธรรมของธรรมชาตินั่นเอง ทีนี้มนุษย์สร้างความลำเอียงขึ้นมาในหมู่สัตวโลกเพื่อทำลายซึ่งกันและกัน ทีนี้มนุษย์บางคนมีเงินมากแล้วตายโดยไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ คือมัวชื่นชมอยู่กับเงิน ไม่คำนึงถึงขันธ์ ก็จะตายก่อนอายุขัย ไม่คิดถึง “บุญ” ถึง “บาป” ก็จะตายเมื่อถึงคราวดวงตก ไม่คิดถึงว่าเราเป็นคน “สร้างเหตุ” เราว่ากล่าวใส่ร้ายป้ายสีเขา สิ่งเหล่านี้จะเป็นกงเกวียนที่สะท้อนคืนมาได้โดยเราไม่รู้ตัว ภาวะเหล่านี้ท่านจะเห็นได้ในสังคมทั่วๆไป แต่ว่าเขาไม่พิจารณากัน
ท่านมีความเมตตาต่อสัตวโลก สัตวโลกย่อมมีความเมตตาต่อท่าน ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะผลสะท้อนแห่งพลังจิตของพิภพย่อมติดต่อถึงกันดังสายใยแมงมุม เมื่อท่านรู้ตัวว่าท่านหนีความตายไม่ได้ แต่ท่านรู้จักความตายท่านก็จะไม่ตาย ไม่ตายในด้านนามธรรม คือท่านเตรียมพร้อมในการไปปรภพ จิตแห่งความเมตตา จิตแห่งความเสียสละ ย่อมที่จะนำท่านไปสู่สุขคติในภูมิใดภูมิหนึ่งของโลกวิญญาณ ทีนี้มนุษย์บางคนเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมมนุษย์โดย “ลืมตาย” ก็เพราะว่า เพื่อนมนุษย์ด้วยกันในสังคมพยายาม “เชิด” ให้เขาลืมตาย นี่ก็ต้องโทษเหล่ามนุษย์ด้วยกันที่เกิดเป็นคนด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงขอเตือนว่าถ้าท่านบูชาวัตถุ บูชาเงิน ท่านย่อมไม่มีความสุข ทั้งในปัจจุบันทั้งในปรภพ เช่นคนที่ไม่พยายามสะสมปัญญาให้ลูกแต่พยายามสะสมวัตถุที่ดินให้ลูกหลาน พวกนี้แหละจะตายอย่างไม่มีสุข เพราะอะไรเล่า เพราะ
๑.สอนลูกให้ขี้เกียจ ไม่รู้จักการต่อสู้
๒.สิ่งที่ลูกได้ไปด้วยความสุขสบายไม่รู้จักความลำบาก สิ่งนั้นย่อมรักษาไว้ไม่ได้ นี่คือกฎะรรมดาของธรรมชาติ
ฉะนั้นถ้าท่านรักลูก หวังความก้าวหน้าของลูก ท่านต้องส่งเสริมลูกด้านปัญญา คือ เสียสละให้ลูกเข้าซึ้งถึงสังคม เข้าซึ้งถึงปัจจุบัน เข้าซึ้งถึงการเป็นคน ไม่ใช่สะสมวัตถุไว้ให้ลูกเผาผลาญต้องหมั่นอบรมสั่งสอนเขาให้คิดถึงความเป็นธรรมของธรรมชาติว่า สัตวโลกมีกรรมเป็นหลัก สัตวโลกมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นที่เกิด เป็นที่ตั้งและเป็นที่ดับ ผู้ที่เกิดเป็นบุตรเราก็ดี ผู้ที่เกิดมาเกี่ยวข้องกับเราในสังคม ในครอบครัวก็ดี ล้วนมีกรรมพัวพันกันมา ซึ่งต่างกรรมต่างวาระไม่เหมือนกัน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรานั้น ถ้าพยายามส่งเสริมปัญญา เขาก็จะรอดอยู่ในสังคม ถ้าพยายามส่งเสริมวัตถุเขาจะไม่ได้รับผลดี ลูกเรทจะไม่มีความรู้ คือไม่รู้จักชีวิตของการเป็นคน ไม่รู้จักสัจจะอันแท้จริง สิ่งเหล่านี้ท่านจะปรับปรุงได้ต่อเมื่อ
๑.ท่านจะต้องมีความแน่วแน่ในอุดมการณ์
๒.ท่านจะต้องไม่มีการทรยศต่อสัจจะของตัวเอง
คือท่านจะต้องตั้งกฎให้ตัวเอง ว่าวันหนึ่งเราจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อตัวเรา ปฏิบัติอย่างไรต่อสังคม ปฏิบัติอย่างไรต่อหมู่คณะ สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้ท่านมีปัญญา
“สมมติ” ท่านจะตื่นตีห้า ท่านจะต้องตื่นอย่างแน่นอนตอนตีห้า ไม่ใช่เช้านี้หนาวเกินไป ต้องนอนอีกสักพัก วันนี้ร้อนเกินไป… และท่านจะต้องไม่มีการนั่งคุยจนเพลินไม่เคารพเวลา ท่านไม่เคารพเวลาก็คือท่านไม่มี “สัตย์” “ศีล” อย่างเดียวที่จะช่วยให้ท่านอยู่ในความบริสุทธิ์ในปรภพที่ดี ท่านสู่อนาคตชาติที่ดีไม่ได้เพราะท่านไม่ถึง “ธรรม”
เพราะฉะนั้นในด้านแห่งความตายก็คือว่า “ให้มนุษย์หยุดนิ่งแล้วสงบอารมณ์พิจารณามากๆ ความร้อนในสังคมจะเบาบางลงไม่มากก็น้อย นี่เป็นสิ่งที่ให้มนุษย์ทั้งหลายไปพิจารณาเอาเอง”
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยเดลี่ เมื่อ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔
คัดจาก โอวาทสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เล่ม ๔ รวบรวมโดย พระราชธรรมกวี วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม ในหนังสือ อนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ นาย จตุรนต์ สิงหทัต วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๒