ลำแสงแห่งพุทธะ ณ สันติเจดีย์
- Details
- Category: บทความประวัติศาสตร์
- Published on Monday, 29 July 2013 07:53
- Written by Super User
- Hits: 6012
บทความเรื่อง “ ลำแสงแห่งพุทธะ ณ สันติเจดีย์ ”
โดย ศ.สวรรค์รำลึก
ขอสวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องน่าสนใจบางเรื่องมาเล่าให้ท่านฟัง เหตุก็จากที่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมได้รับรูปถ่าย พระเจดีย์สีทองอร่าม ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง จากเพื่อนที่สนิทกัน ได้มาหลายรูป บางรูปถ่ายกลางวัน บางรูปถ่ายกลางคืน รูปที่ถ่ายกลางคืนนั้นเห็นมีแสงมหัศจรรย์เกิดขึ้นที่องค์พระเจดีย์มีสีสันต่างๆเรืองๆน่าประหลาดใจ ได้ทราบจากเจ้าของรูปว่าเป็นรูปของ “ สันติเจดีย์ ” เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมากที่สุด ตั้งอยู่ในหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ในอดีต และแสงประหลาดนั้นได้ทราบว่าเป็นแสงของพระบรมสารีริกธาตุที่แผ่รัศมีออกมา ให้ประชาชนที่มาปฏิบัติบูชา สวดมนต์ภาวนาอธิษฐาน ต่อพระบรมสารีริกธาตุในองค์พระเจดีย์ในยุคนั้นได้เห็นกัน ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจจึงหยิบมาเขียนเล่าเพื่อแบ่งปันความรู้กันครับ
สันติเจดีย์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกฐาตุ ณ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
ประวัติสันติเจดีย์
เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๓ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ เจ้าสำนักปู่สวรรค์ พร้อมด้วยสามเณร ๑ รูป สุนัข ๑ ตัว ได้เดินทางมาในพื้นที่เข้าเสือหมอบ หรือเข้าถ้ำพระ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ในปัจจุบัน ตามพระบัญชาของดวงวิญญาณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ให้มาสำรวจหาพื้นที่ สงบ สันโดษ เพื่อที่จะใช้เป็นสำนักวิปัสสนา และประกอบการกุศลอื่นๆ ซึ่งสมเด็จโต ท่านก็ได้ชี้ให้อาจารย์สุชาติมายังสถานที่นี้ ซึ่งในขณะนั้นอาจารย์สุชาติเองก็ไม่รู้เจตนาอันลึกซึ้งของสมเด็จโตว่าท่านจะทำอะไรต่อไป ( เรื่องราวตอนที่สมเด็จโตสั่งให้อาจารย์สุชาติมาอยู่ที่เข้าเสือหมอบ ๓ ปีนี้มีเรื่องสนุกตื่นเต้นเล่าขานกันมามาก แล้วคราวหน้าผมจะเขียนให้ท่านได้อ่านกันอีกครับ)
ต่อมาคณะสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ก็ได้ขอซื้อที่ดินบริเวณรอบๆเข้าเสือหมอบแห่งนี้ได้หลายแปลง ภายหลังท่านบรมครูได้เผยความลับว่า “สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่พำนักพักแรมของ คณะธรรมทูต ที่พระเจ้าอโศกมหราชได้ส่งมาเผยแผ่พุทธศาสนาในภูมิภาคสุวรรณภูมิ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๓๗ ก่อนที่จะไปประดิษฐานและเผยแผ่พุทธศาสนาที่ คูบัว จ.ราชบุรี และขยายไปสู่นครปฐมในเวลาต่อมา”
ลูกศิษย์ของสำนักฯและผู้เลื่อมใสได้ช่วยกันพัฒนาผืนดินน้อยๆนี้ให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมจากป่ารก เต็มไปด้วยอันตรายให้กลายเป็นเมืองศาสนาน้อยๆในถิ่นวิเวก ให้ชื่อว่า “หุบผาสวรรค์”
กาลต่อมาท่านบรมครูมีดำริจะให้สร้างปูชนียวัตถุอันสำคัญ เพื่อที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนที่ได้มาปฏิบัติธรรม และมีอานุภาพในการสร้างความร่มเย็นและปลอดภัยให้ประเทศไทยและโลกมนุษย์ ก็ได้สร้างพระเจดีย์สำคัญขนานนามว่า “สันติเจดีย์” ขึ้น ณ บริเวณยอดเขา จุดที่ตั้งนั้นสันนิษฐานว่า เป็นที่อธิษฐานประทับรอยบาทของพระอรหันต์ เมื่อครั้งมาพักแรมอยู่ในถ้ำสาลิกาเชิงเขาถ้ำพระนี้
ดำเนินการสร้าง
ทำพิธีวางศิลามงคลเพื่อเริ่มสร้าง ในวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๗ โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ( วาสโน มหาเถระ ) สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงเป็นประธานพิธีเจิมแผ่นศิลามงคล หม่อมเจ้าชุมปกะบุตร ชุมพล ประธานกรรมการอำนวยการสำนักปู่สวรรค์(ในขณะนั้น) เป็นผู้วางศิลามงคลในหลุมบนยอดเขา พล.ต.ปราการ ภูวนารถนุรักษ์ ประธานกรรมการบริหารสำนักปู่สวรรค์เป็นประธานจัดงาน
หลังจากที่ได้ทำพิธีวางศิลามงคลไปแล้ว เมื่อ ๑๙ ต.ค.๒๕๑๗ คณะกรรมการจัดสร้างก็ได้ดำเนินการก่อสร้างต่อไปโดยมี อาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฎ และคุณสวัสดี ศรีรัตโนภาส เป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง จนแล้วเสร็จใช้เวลาทั้งสิ้น ๒ ปีเต็ม
อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
ในช่วงที่การก่อสร้างได้ดำเนินการไปนั้น คณะกรรมการของสำนักปู่สวรรค์ก็ได้รับ พระบรมสารีริกธาตุจากบุคคลต่างๆดังนี้
๑.เมื่อ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๙ พระอมฤตนันทะ ประธานคณะสงฆ์แห่งประเทศเนปาลได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ลักษณะสัณฐานกลมคล้ายเมล็กพันธุ์ผักกาด จำนวน ๕ องค์จากเนปาล มามอบให้ที่สำนักปู่สวรรค์ กรุงเทพมหานคร
๒.เมื่อวันที่ ๔ – ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๙ คณะธรรมทูตซึ่งประกอบด้วย อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ พระเทพโสภณ ศจ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล และ พ.ต.ท.บำรุง กาญจนวัฒน์(ยศในขณะนั้น) ได้เดินทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ลักษณะสัณฐานกลม คล้ายเมล็ดถั่วเขียวจำนวน ๒ องค์จากประธานคณะสงฆ์แห่งศรีลังกา นิกายสยามวงศ์ ที่ประเทศศรีลังกา
๓.พุทธศานิกชนทั่วราชอาณาจักรไทย ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนใหญ่มีลักษณะสัณฐานยาวคล้ายเมล็ดข้าวสาร ไปให้ที่สำนักปู่สวรรค์และที่หุบผาสวรรค์เป็นจำนวนมาก
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นสู่ยอดพระเจดีย์
เมื่อถึงกำหนดการแห่งความพร้อมแล้ว คณะกรรมการจัดสร้าง ก็ได้ประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บนยอดพระเจดีย์ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ในงานนี้ผู้จัดได้จำลองแบบงานแบบเดียวกับพิธีของมัลละกษัตริย์ที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ได้กลับกันคือ คณะกรรมการได้เรียนเชิญคณะทูตานุทูตผู้แทนจาก ๙ ประเทศ ได้แก่ ไทย บังกลาเทศ อินเดีย อินโดนิเซีย มาเลเซีย เนปาล ศรีลังกา สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา เป็นผู้อัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุไปถวายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช องค์ประธานในพิธี เพื่ออัญเชิญขึ้นบรรจุบนยอดเจดีย์ต่อไป
งานนี้ พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และพล.ต.ต.พิบูลย์ ภาษวัธน์ ประธานกรรมการบริหารสำนักปู่สวรรค์ ในขณะนั้นเป็นประธานจัดงาน
ผู้เขียนเคยอ่านเจอในเอกสารเก่าของสำนักปู่สวรรค์ว่า ในพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนั้นนอกจากจะมีพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญตามพิธีต่อหน้าศาสนิกชนทั้งหลายแล้วในวันนั้น ท่านบรมครูยังได้เผยในภายหลังว่า ได้มีพระบรมสารีริกธาตุจากที่อื่นๆ เสด็จสู่สันติเจดีย์ รวมทั้งพระอรหันตธาตุอื่นอีกมาก รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๔๐,๐๐๐ องค์ ( สี่หมื่นองค์ ) ในขณะนั้นจึงนับว่าสันติเจดีย์เป็นปูชนียวัตถุที่มีพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุมากที่สุดในโลก
กาลแห่งการบูชา
เมื่องานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุผ่านพ้นไป คณะกรรมการหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาได้จัดให้มีพิธีการปฏิบัติบูชาและอธิษฐานบูชา ณ สันติเจดีย์ ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๐ และได้กำหนดให้ทุกวันที่ ๑๙ ของเดือน เป็นวันปฏิบัติบูชา สวดมนต์อธิษฐาน ฟังธรรม ปฏิบัติจิต ของสานุศิษย์และสาธุชนทุกท่านจากที่ต่างๆที่มาร่วมกิจกรรมในหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา
เมื่อครั้งนั้นทุกวันที่ ๑๙ หลังจากที่สวดมนต์ปฏิบัติบูชาเสร็จแล้วก็จะมีการปาฐกถาธรรมของ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ หรือมีการบรรยายธรรมะจากพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิธรรมตามวาระโอกาส เป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยอุ่นไอของธรรมะและบรรยากาศที่สดชื่นท่ามกลางขุนเขา
อัศจรรย์รังสีของพระบรมสารีริกธาตุ
เราก็ได้รู้ปูพื้นความเป็นมาของพระเจดีย์องค์นี้กันแล้ว ทีนี้ก็เข้ามาสู่เรื่องที่ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังกัน โบราณจารย์ว่าไว้ พระบรมสารีริกธาตุเป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก มีเทพพรหมปกป้องรักษา เป็นธาตุที่ทรงอิทธิฤทธิ์ในตัวเอง
จากบันทึกของสำนักปู่สวรรค์หลายฉบับได้รายงานการแสดงอภินิหารของแสงประหลาดที่เปล่งออกมาจากองค์พระเจดีย์ ต่อหน้าต่อตาสานุศิษย์และสาธุชนที่ไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขาในวาระต่างๆหลายครั้ง แต่ที่มีผู้พบเห็นเป็นจำนวนมากและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานนั้น จำนวน ๒ ครั้งที่สำคัญ คือ
ครั้งที่ ๑ คืนวันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นวันครบรอบครึ่งปีนับแต่วันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยมีการบันทึกว่า รังสีที่เปล่งออกมานั้นสว่างทั่วองค์วันติเจดีย์
ครั้งที่ ๒ คืนวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๐ อันเป็นวันครบรอบปีของการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในสันติเจดีย์ ในครั้งนั้นรังสีที่เปล่งสว่างเพียงส่วนด้านบนขององค์สันติเจดีย์เท่านั้น
นับเป็นเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ที่คนในยุคนั้นได้พบได้เห็นแสงแห่งพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งทราบกันดีในหมู่สานุศิษย์เก่าๆของสำนักปู่สวรรค์ ในนามของ “ฉัพพรรณรังสี” ผู้เขียนเองเมื่อครั้งเข้ามาเป็นอาสาสมัครทำงานรับใช้ประชาชนที่ชมรมสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ใหม่ๆ ได้ยินรุ่นพี่เก่าๆเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ
จากการที่คนรุ่นเก่าๆเล่าและการค้นคว้าจากเอกสารเก่าของสำนักปู่สวรรค์ ทำให้ทราบว่า “ฉัพพรรณรังสี”ของสันติเจดีย์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นหลายครั้ง และมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายๆเก่าๆดังที่ผู้เขียนได้นำภาพบางส่วนมาลงไว้ให้ศึกษากัน ทุกท่านก็ลองใช้วิจารณญาณชมและศึกษากันเพื่อต่อยอดความรู้กันนะครับ และถ้าผู้อ่านท่านใดมีความรู้เรื่องนี้จะเขียนมาให้ความรู้กับผู้เขียนเพิ่มเติม ก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ และเป็นวิทยาทานอย่างยิ่งครับ
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ต่อมาสำนักปู่สวรรค์และหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาต้องประสบวิกฤติอย่างหนักหลายครั้งจากฝ่ายที่ไม่เข้าใจและฝ่ายที่เสียประโยชน์ จนถูกทำลายลงอย่างที่เห็น ปัจจุบันคงไม่มีภาพเก่าๆอย่างนั้นหวนมาให้เราได้เห็นกันอีกแล้ว ก็ได้แต่เก็บภาพความประทับใจไว้เล่าให้เด็กรุ่นหลังได้ฟังถึงเรื่องราวอันสวยงามที่เคยเกิดขึ้น และก็คงไม่เป็นไรอีกนั่นแหละ ถึงวัตถุจะไม่จีรัง แต่ความดีนั้นคงทนเสมอ พระพุทธองค์ก็ยังคงส่องแสงสว่างแห่งธรรมมาถึงตัวเราทุกวัน เพียงแต่วันนี้... เราเปิดใจ ให้แสงสว่างที่พระองค์ส่งมานั้น ไล่ความมืดดำ ของโลภ โกรธ หลง ออกไปจากใจของเราแล้วหรือยัง....