poo_สังคมโพธิสัตว์
- Details
- Category: โอวาทหลวงปู่
- Published on Sunday, 28 July 2013 13:32
- Written by Super User
- Hits: 4317
สังคมพระโพธิสัตว์
เจริญพร
สานุศิษย์ทั้งหลาย วันนี้ได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่งเป็นการชุมนุมของ “ผู้เสียสละเข้ามาร่วมทำงาน” สังคมของฆราวาสสายตาของคนภายนอกที่เรียกตนว่า “เจริญแล้ว” เขาก็จะเรียกพวกเรานี้เป็นพวกงมงายเป็นพวกบ้า
ทั้งนี้เราต้องคิดว่า “การทำดีเพื่อส่วนรวมในสังคม” เป็นจุดสำคัญ เราจะต้องมีธรรมะเรียกว่า “ขันติ” และ “ทมะ” ต่ออุปทาน เพราะว่าในชีวิตแห่งการเป็นสัตว์โลก ที่ประกอบด้วยมนุษย์ “นานาจิตตัง” มนุษย์ส่วนมากถือดี อวดดี ยึดตน แล้วก็มีตัวอิจฉา ไม่อยากเห็นคนอื่นดีกว่าตนในสังคมปุถุชน
ในขณะนี้ เรากำลังจะสร้างสังคมใหม่ เพื่อให้มนุษย์ระลึกถึงนามธรรม และเตรียมตัวว่าตายแล้วไปไหน สังคมกลียุคเช่นนี้ มนุษย์มีตัวโลภ โกรธ และหลงครอบงำ ทีนี้ภาวะที่เราจะทำงาน จุดสำคัญเราจะต้องหนักแน่นและมีสติพร้อมในการวินิจฉัยเหตุการณ์ ข้อเท็จจริงและการที่จะเข้ามาสู่การทำงาน เพราะว่า สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วย “สังคมลมปาก” พลังแห่งสังคมลมปากเช่นนี้จึงเป็นสังคมที่
เราจะต้องมีสติพร้อมในการวินิจฉัยเหตุการณ์
เราจะต้องมีสติพร้อมในการวินิจฉัยความจริงเท็จ
เราจะต้องมีสติพร้อมในการที่จะเข้ามาสู่การทำงาน
ทีนี้ จุดสำคัญในการทำงานมีอยู่อย่างหนึ่งคือ การทำงานใหญ่นั้น ต้องประกอบด้วยคนมากหน้า นานาบุคคล เขาเรียกว่า คนเรานี้สังขารเป็นอนิจจัง สังขารเคลื่อนสู่ความสลายแห่งกายเนื้อ และทุกคนมีความสามารถของตนไม่เหมือนกัน รวมทั้งทุกคนต่างก็มีความคิดไม่เหมือนกัน ทีนี้ภาวะแห่งการที่มนุษย์มีความสามารถไม่เหมือนกัน มีความคิดไม่เหมือนกัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดปัญหาขึ้น
เพราะฉะนั้น การทำงานกับคนทั้งหลายในหมู่มาก เราจะต้องใช้หลักวินิจฉัยให้ละเอียดและขจัดปัญหาในสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเราเล็งเห็นเป็นสิ่งที่ร้าย ให้ออกจากสมอง และสังคมนั้นให้หมด ท่านจะต้องเข้าใจว่า จะต้องมีอารมณ์แห่งการกระทบของอาตยนะทั้งภายนอกและภายใน ทำให้เราฟุ้งซ่านและตื่นเต้น ทีนี้ เราต้องอย่ามีความวิตกกลัวว่าจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้น เราต้องถือว่าการทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราต้องเป็นผู้ที่มีความสุขุมรอบคอบในการดูในการแลทั้งหลายที่เกิดขึ้น คือ เราต้องเข้าใจตามหลักพระพุทธศาสนาว่า
ภาวะทั้งหลายล้วนแต่มีเหตุผล
เหตุเกิดขึ้น ต้องมีสมุฏฐาน
สมุฏฐาน ก่อให้เป็นปัจจัย
ฉะนั้น เราจะต้องมีสติพิจารณาถึงสมุฏฐาน ถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นไว้แต่เนิ่นๆ ภาวะแห่งสังคมของมนุษย์ซึ่งต่างคนต่างมีกรรมของตนเป็นจุดเสวย ประเทศก็มีกรรมของประเทศ บ้านก็มีกรรมของบ้าน ศาสนาก็มีกรรมของศาสนา เราทำงานเราตั้งปณิธานได้ แต่เราอย่ายึดปณิธานนั้นๆ ปุถุชนทำอะไรก็จะมีผิดมีถูกรวมกันไปในชีวิตแห่งการเสวยกรรมในโลกมนุษย์ ทีนี้จะทำอย่างไรจึงจะทำงานผิดน้อยที่สุด วิธีปฏิบัติคือ
เราจะต้องมีสติพร้อม
เราจะต้องไม่เกียจคร้าน
และรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น และนำมาวินิจฉัยประกอบเรื่อง
เมื่อท่านมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบแล้ว โครงสร้างของสังคมก็จะเจริญขึ้น สังคมนั้นๆ จะเข้าไปสู่ความหายนะยาก เพราะอะไรเล่า เพราะว่าเราอยู่ในสังคมที่ล้วนแต่ผู้มีสติผู้ที่ร่วมในสังคมล้วนแต่ฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะเตือนให้รู้ว่า การเกิดมาเป็นมนุษยชาติหนึ่งนั้น จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำจะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างขี้ฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วก็จะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราออกจากบ้านก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงานในสัมมาอาชีวะแห่งการเลี้ยงตนชอบ นี่คือความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัยสี่
ฉะนั้น เมื่อองค์สมณโคดมมีสังขารอยู่ได้บำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์ มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุค ได้พิจารณาถึงเหตุและโดยปัจจัยในสิ่งที่จะพ้นกองทุกข์ได้ ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงตามภาวะกรรมวิบาก พระองค์ก็ได้วินิจฉัยว่า ในการที่จะให้เกิดช้าก็ดี ในการที่จะให้พบความสุขก็ดี ในการที่จะให้พ้นทุกข์ก็ดี มันอยู่ที่นามธรรม ภาวะนามธรรม ได้มีอำนาจฌาน ญาณ ในด้านมีสติพิจารณาตนกำกับไว้ว่า ในระหว่างการเป็นคนนี้ จะต้องทำอะไรบ้าง หลังจากตายแล้ว จะไปไหน สิ่งเหล่านี้ก็จะเตือนให้เราไม่ต้องมีทุกข์มาก การที่เราจะต้องไม่มีทุกข์มากนั้น
เราจะต้องรู้ว่า เรานี้ต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราจะต้องเป็นตัวของเราเอง และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเรา สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดเราไม่ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานศาสนานั้น เป็นงานที่ยาก เป็นงานที่จะต้องใช้สมอง และรับคำนินทา คำสรรเสริญมาก
สิ่งเหล่านี้ท่านทั้งหลายที่มีกรรมพัวพันกันมาในอดีต และได้เข้ามาร่วมในสังคม “ที่แหวกแนว” ในกลียุคเช่นนี้ ก็คิดว่าทุกคนจะต้องมาพบปะเพื่อการสนทนาธรรมก็ดี ปรึกษาการงานที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็ดี ได้เสียสละเวลามาพบและคุยกัน ย่อมก่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญาเกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ
1.ปัญญา ที่เรียกว่า “ปัญญารู้บริสุทธิ์” ปัญญารู้บริสุทธิ์นั้นมันจะต้องเกิดจากการทำสมาธิจิตให้เป็นฌานญาน จึงจะเกิดปัญญารู้บริสุทธิ์
2.ปัญญาอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า ปัญญาจากการพบปะ หรือปัญญาในโลกมนุษย์ ปัญญานี้เกิดจากการสนทนาปรึกษา เกิดจากความคิด เกิดจากการเห็น เกิดจากการอ่านมาก เป็นปัญญาที่เรียกว่า “ปัญญาจากภายนอกเข้าสู่ภายใน” ส่วนปัญญารู้บริสุทธิ์ นั้นเกิดขึ้นจากการทำสมาธิจากภายในสู่ภายนอก
ขณะนี้ทุกคนที่มานั่งอยู่ในที่นี้ ก็เรียกว่ามีปัญญาจากภายนอกเข้าสู่ภายในกันมากจนเรียกว่า “อิ่มตัว” และกำลังค้นในเรื่องปัญญาจากภายในสู่ภายนอก อาตมาคิดว่า ทุกคนคงตระหนักดี เวลานี้ ภาวะโลกมนุษย์ ร้อนเป็นไฟ เราจะต้องทำให้ดินแดนน้อยๆ แห่งหนึ่งเป็นสถานที่สงบเยือกเย็น เกิดเป็นสิ่งมหัศจรรย์เป็นสิ่งที่ ให้โลกมนุษย์พิจารณาว่า
สิ่งลี้ลับในโลกนี้ยังมีอยู่มาก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกนี้ยังมี
ความยุติธรรมของโลกนี้ยังมี
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เรียกว่า “ผู้มีกรรมน้อย” ได้มาร่วมใน “สังคมพระโพธิสัตว์” ในการบำเพ็ญตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ก็จำเป็นต้องอดทนต่อไป เพื่อช่วยส่วนรวม ให้ยึดมั่นตามเป้าหมายที่เราได้วางไว้ไม่มากก็น้อย หวังว่าทุกคนจงตั้งสติให้ดี และขอให้ทุกคนมีพลานามัยที่ดี เขาเรียกว่ากายเนื้อดี จะทำให้กายในสบาย ทีนี้ ถ้าเราจะให้กายเนื้อดี เราจะต้องทำจิตใจให้สงบ เพราะว่าจิตที่ไม่รวมนิ่งย่อมฟุ้งซ่าน อันจะทำให้กายเนื้อแตกเพราะใช้ธาตุไฟมากเกินไป นี้เป็นหลักธรรมดาของ “หลักสรีรศาสตร์” ของมนุษย์
ฉะนั้น อาตมาก็ไม่มีอะไรจะเทศน์มากกว่านี้
เจริญพร