E-book สวรรค์รำลึก

รำลึกศึกษา

ศึกษาประวัติของหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในอดีต

ร้านหนังสือสวรรค์รำลึก

เยี่ยมชมเรา

สื่อมงคลสำนักปู่สวรรค์

สิ่งดีที่ฝากไว้ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ความรู้ทางวิญญาณ จากการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ภาพยนต์รำลึก

ชมภาพยนต์ประวัติศาสตร์และสื่อเพื่อการศึกษาค้นคว้า

หลวงปู่ทวด-ทางสามแพร่ง

A-loungpoo

ทางสามแพร่ง

(เทศน์เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๑๗)

การที่อาตมามาวันนี้แต่มาพูดหลักธรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบัน ภาวะมนุษย์ปัจจุบันที่เกิดมาเจริญเติบโตแล้วกำลังเดินอยู่ในทางสามแพร่ง

ทางสามแพร่งในโลกมนุษย์คืออะไร ก็คือ ทางโลกียะ ทางโลกุตระ และทางขันติ คืออยู่เฉย ถ้าจะพูดง่าย ๆ ก็คือ ทางนรก ทางสวรรค์และนิพพาน ในปัจจุบันนี้ทางไหนเป็นทางที่เด่นที่สุดในสังคมโลกมนุษย์ อาตมาคิดว่า ทางเด่นที่สุดในสังคมโลกมนุษย์ในขระนี้ ในยุคนี้ คือทางนรก เพราะอะไรเล่าเมื่อท่านออกจากชายคาบ้านของท่านสู่ถนน พื้นนิภพที่มนุษย์สร้างแต่สิ่งที่ยั่วยวนกิเลสตัณหา ท่านจะเห็นว่าทางแห่งนรกกำลังเจริญก้าวหน้าเข้ามาสู่ ตา หู จมูก และสู่กาย ใจ ตลอดทางที่ท่านเดินทางมา จะเห็นว่ามีโรงเหล้าทุกหนทุกแห่ง แล้วมนุษย์ก็อยู่ในภาวะ ที่กิเลสเข้าครอบงำจนต้องตามกัน ทุกคนรู้ว่าเหล้าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ทุกคนก็อดไม่ได้ ทุกคนรู้ภาวะแห่งความตายคืบคลานก้าวเข้ามาหาตน แต่ทุกคนก็ไม่ละการเห็นแก่ตัว คือ ตัวโลภของตน เพราะอะไรเล่า ก็เพราะอารมณ์แห่งตัวหลงได้เข้าสู่ในภาวะจิตอันบริสุทธิ์ของคนแล้ว ทีนี้ภาวะวิบากของมนุษย์ทุกคน ก็มีอารมณ์ผุดเข้าผุดออกของนรก สวรรค์ นิพพานสับเปลี่ยนอยู่ในจิตใจของตนแทบทุกรูปทุกนาม

ขณะนี้ สาสุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ที่กำลังนั่งอยู่ในที่นี้ก็กำลังประสบทางสามแพร่ง ทางหนึ่งคิดจะมาร่วมมือกับท่านโต ทางหนึ่งก็คิดเรื่องส่วนตัวเป็นใหญ่ ทางหนึ่งก็คิดที่จะมาทำงานในสำนัก ทางหนึ่งก็คิดถึงกิจกรรมของตน ทีนี้ปัญหาเหล่านี้ก็เป็นปัญหาที่น่าคิดสำหรับการเป็นมนุษย์ในกาลกลียุคเช่นนี้ เราทำงานทวนกระแส ท่านคิดว่าจะไปถึงหรือ ภาวะที่จะฉุดเขาไปสู่สวรรค์นิพพานมากกว่าดิ่งสู่นรก ตามทัศนะของอาตมา อาตมาเชื่อมันสมองท่านโตว่าเป็นไปได้ ถ้ามนุษย์ที่อาจเอาจริงกับท่านมีเพียงพอ ทุก ๆ คนต่อสู้อยู่ในสังคมมนุษย์เพื่ออะไรเพื่อความสุขใช่ไหม แต่ถ้าท่านหันเข้ามาสู่คำว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร สุขที่แท้จริงก็คือนามธรรม คือใจที่ทุกคนทุกวันนี้เข้าใจ มนุษย์ประสบความทุกข์เพราะไม่เข้าซึ้งถึงจุดสุดยอดแห่งนามธรรมคือ ละการไม่เข้าซึ้งถึงความเป็นอยู่ของตัวเองว่าต้องการอะไร จึงได้เกิดความทุกข์ทุกหย่อมหญ้า ถ้าทุกคนหันมายึดมั่นธรรมะว่า มนุษย์เกิดมาล้วนแต่มีกรรมของตนเป็นหลัก ครอบครัวที่เราเกี่ยวข้องผู้ที่มาเป็นลูกเป็นหลานที่มาเป็นผัว ที่มาเป็นเมีย ที่มาเป็นพ่อ ที่มาเป็นแม่ ก็มีกรรมของตนที่มาเสวย ถ้าเรารู้จักคำว่า ล่ะ ด้วยการเตรียมตัวก่อนตาย คือรู้แน่ว่าทุกคนต้องตาย มีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย ตายก่อนจะดีหรือไม่ ถ้าทัศนะของอาตมาแล้วจากกันระหว่างเป็นดีกว่าจากกันระหว่างตาย เพราะอะไรเล่า ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในสังคมถ้ารู้จักคิดว่าวันหนึ่งเรากินเพียงสามมื้อ มื้อหนึ่งกินไม่เกิน ๒ ชามก็อิ่มแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายมีใจทำงานทวนสังคม ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นี้ส่วนมากทำได้ เพราะทุกคนในด้านวัตถุแล้วตามฌานทัศนะของอาตมาตามการรับรู้จากศูนย์รวมกรรม ทุกคนมีวัตถุเกินมี ถ้ามีชีวิตอยู่อย่างไม่ยึดปัจจัย ๔ เครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้าเราใส่อย่างไม่ต้องเอาตัวไปฝากกับสังคม ชุดหนึ่งใส่มันจนขาดก็คิดว่า ชุดหนึ่งใส่ได้เป็นหลายๆ ปี ถ้าท่านไม่ยึดสี ยึดสวย ยึดงาม เมื่ออาตมามาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ จนกระทั่งอาตมาสิ้นจากโลกมนุษย์ อาตมาใช้อัฏฐบริขารตั้งแต่บวชถึงตายเพียง ๔ ชุด เท่านั้น

ฉะนั้น ท่านคิดว่าท่านจะทำงานเพื่อสังคมมนุษย์ ท่านคิดว่าท่านจะทำเพื่อศาสนา ท่านคิดว่าท่านจะกู้เอกราชของชาติไทยแล้ว ท่านสามารถนุ่งห่มเสื้อผ้าที่ปะได้หรือไม่ ถ้าท่านเอาตัวไปฝากไว้กับสังคม เมื่อไม่มีรถนั่งแล้วทำงานไม่ได้ ถ้าพูดความจริงกันแล้วธรรมชาติสร้าง "ตีนให้มนุษย์เดิน ให้ทำได้ทุกอย่าง ถ้าเราไม่มีใจแห่งความ ล่ะถึงปรมัตถธรรม เราก็ยืนลังเลอยู่ในทางสามแพร่งนี้ จนกระทั่งตายก็ไม่ได้ทางใดทางหนึ่งที่จะไป

                                                                             เจริญพร

Contribute!
Books!
Shop!