E-book สวรรค์รำลึก

รำลึกศึกษา

ศึกษาประวัติของหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในอดีต

ร้านหนังสือสวรรค์รำลึก

เยี่ยมชมเรา

สื่อมงคลสำนักปู่สวรรค์

สิ่งดีที่ฝากไว้ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ความรู้ทางวิญญาณ จากการศึกษาของ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

ภาพยนต์รำลึก

ชมภาพยนต์ประวัติศาสตร์และสื่อเพื่อการศึกษาค้นคว้า

to-คำถามและคำตอบเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณและกรรม

o-wat-tho

คำถามและคำตอบเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณและกรรม

คำเทศน์ของดวงวิญญาณ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ลงในหนังสือพิมพ์ไทยเดลี่ ฉบับวันที่ ๓ – ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๔

ปัญหาที่ ๑ ผู้ถามคือ คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต

ผู้ที่ตายแล้วรูปก็ดับนามก็ดับ เหตุไฉนจิตวิญญาณจึงสามารถสะสมกิเลสติดไปถึงชาติภพหน้าได้

ปัญหาที่ ๒ ผู้ถามคือ ศาสตราจารย์ หลวงสมานวนกิจ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นปัญหาสำคัญคนทั้งหลายเกิดมาแล้วตายไป ตายไป พระท่านก็บอกว่าบุญกรรมย่อมตามไป อยากทราบว่า บุญกรรมตามไปได้อย่างไร คนส่วนมากยังไม่เข้าใจกัน

สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ตอบ :

                ในภาวะที่เราเป็นคนขึ้นมาได้นั้น ท่านต้องเข้าใจว่า รูปนั้นเกิดจากการประชุมของ ดิน น้ำ ลม ไฟ แห่งพืชพันธุ์ในธรรมชาติปัจจุบัน ภาวะแห่งรูปนามนี้แลจึงผสมขึ้นได้ด้วยกรรมภพ

                สภาพการณ์แห่งกรรมภพนี้ เกิดขึ้นได้เพราะกระแสกรรมในจิตวิญญาณ พลังแห่งจิตวิญญาณนี้เป็นพลังงานอันหนึ่งที่เหนือสสาร ทีนี้ในพลังงานเหล่านี้ท่านต้องเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ในสภาวการณ์ที่แปรสภาพตามภาวะ ไม่ได้สลายไปตามธรรมชาติ ทีนี้พลังแห่งการไม่ได้สลายจากธรรมชาตินี้แล เป็นจุดเริ่มต้นของจิตวิญญาณแห่งอกุศล มีวิญญาณทิพย์อันหนึ่งที่แฝงอยู่ในธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหนือวิญญาณธาตุ วิญญาณทิพย์ อันนี้เป็นวิญญาณแห่งความเป็นทิพย์ในการแปรเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ วิญญาณจุดนี้เป็นจุดที่ ก่อ ในสังสารวัฏและเป็นจุดที่ ดับ ในสังสารวัฏ กรรมวิบากขึ้นอยู่กับวิญญาณนี้

                ที่ว่า มนุษย์ตายแล้วจะไปเป็นพรหม มนุษย์ตายแล้วจะไปเป็นเทพ มนุษย์ตายแล้วจะไปอยู่ยมโลกนั้น พลังแห่งวิญญาณนี้จะมีขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยในภพปัจจุบัน ภพปัจจุบันเกิดขึ้นต้องอาศัยเหตุในอดีตเป็นผลแห่งการส่ง เพราะฉะนั้นในจุดแห่งการเปลี่ยนกิเลสตามภาวะกรรมนั้น  จึงอยู่ในภาวะที่เรียกว่า หาจุด เริ่ม ของวิญญาณและหาจุด  สลาย ของวิญญาณนั้นยาก

                ภาวะกรรมนี้เปรียบเสมือนหนึ่งวงกลมที่อยู่ในถ้วยน้ำ น้ำที่อยู่ในถ้วยวนเป็นวงกลมฉันใด ท่านจะหาจุดปลายของน้ำที่เป็นวงกลมอยู่ในภาชนะไม่ได้ฉันนั้น

                เพราะฉะนั้นกรรมวิบากนี้ก็สืบเนื่องมาจากภพชาติแห่งวัฏฏะ การที่ท่านเกิดมาภพหนึ่งชาติหนึ่ง กรรมของท่านที่ถ่องแท้ในจิตวิญญาณนี้สะสมเป็นภพเป็นชาติ ที่ยากแก่การแยกแยะ แต่ภาวะกรรมนั้นต้องเสวยตามวิบากของพืชพันธุ์ที่ท่านสร้างขึ้นมาในระหว่างที่เกิดเป็นสัตวโลกชาติใดชาติหนึ่ง

                เพราะฉะนั้นพลังแห่งกรรมนี้ ก็คือพลังที่สืบเนื่องสืบต่อในภาวะแห่งการเกิดดับภพชาติ ไม่มีจบสิ้นท่านจะสิ้นจากภาวะแห่งนี้ทั้งกุศลที่ไม่ต้องไปเสวยในปรภพ ก็คือท่านต้องพยายามชำระจิตวิญญาณให้เหนือจากสรรพกิเลส ให้จิตวิญญาณนี้เหนือสรรพสิ่งใดๆ ในสังสารวัฏให้หลุดพ้นจากกฎแห่งวัฏฏะ

                เมื่อนั้นท่านก็จะพ้นกรรมวิบากเหล่านั้นได้ แต่ยังไม่พ้นหมด เพราะว่า ทุกอย่างย่อมมีเชื้อแห่งการติดของสายใยของมัน ฉันใดก็ฉันนั้น  ในเรื่องของกรรม จิตวิญญาณที่เสวยกรรมในภพนี้เรียกว่าอยู่ในการติดตามภาวะเชื้อแห่งการเกิดดับนั้นๆ

หลวงสมาน :  เมื่อไรกรรมจึงจะหมด วิญญาณนี้จะหมดไปหรือไม่ เช่น พระไปปรินิพพานแล้ว วิญญาณจะหมดไปตอนนั้น จุดนั้นใช่หรือไม่

สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ตอบ :  วิญญาณนี้จะหมดต่อเมื่อท่านบำเพ็ญถึงจุดที่เรียกว่า หมดในภพแห่งสังสารวัฏหรือเรียกว่า ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคหรือว่า ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แห่งยุคพลังแห่งจิตวิญญาณนี้หมด ต่อเมื่อท่านสามารถรักษาอาสวักขยญาณเข้าสู่แดนนิพพาน พลังนั้นแลจิตวิญญาณนั้นจะดับสลายในแดนนั้น

คุณขีด พูลประภัศร : ที่หลวงพ่อสมเด็จ เทศนามานี้ก็ได้ความว่า ปัญหาที่คุณหญิงระเบียบตั้งขึ้นถามว่า คนเราดับทั้งรูป ทั้งนามแล้วจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องทรงจำหรือกรรมที่จะติดต่อตามไปก็ไม่มี แต่หลวงพ่อสมเด็จ บอกว่ากรรมนั้นมันย่อมจะติดตามไปเพราะเหตุว่าวิญญาณนั้นไม่ตายไปใช่ไหมครับ

สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ตอบ :  ปฏิสนธิวิญญาณ ไม่ตาย

คุณขีด พูลประภัศร : ก็เป็นอันว่า เมื่อวิญญาณเรายังไม่ตาย ความทรงจำหรือที่เรียกว่านิสัยนั้นย่อมติดตามไปในชาติหน้านะครับ นิสัยที่ติดนี่ เป็นสิ่งที่ล้ำลึกอยู่มาก สมมติว่าสัตว์เดรัจฉานมาเกิดเป็นคนอุปนิสัยของสัตว์เดรัจฉานอาจจะติดไปได้อย่างไรครับ หลวงพ่อสมเด็จโปรดช่วยอธิบายให้ชัดแจ้งด้วยเช่น อากัปกิริยาท่าทางต่างๆเหล่านี้

สมเด็จ :  คือว่า การติดของภพชาติหนึ่งที่เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ดี เป็นอะไรก็ดี พลังอันนั้นจะทำให้ดับอนุสัยเดิมของท่านได้ยาก บางคนทำไมอยู่ไม่สุขต้องทำโน่นทำนี่จึงจะสบาย อันนี้ขอให้ท่านฟังแล้วคิดว่าเป็นเรื่องฟังนิยาย   อนุสัยเหล่านี้อาจเป็นเพราะว่า มนุษย์ผู้นั้นเคยเกิดเป็นวัวควายต้องทำนาไถนา เรียกว่ารู้จักทำแล้วไม่รู้จักเหนื่อย พลังอันนี้เป็นอนุสัยนอนนิ่งอยู่ในสันดานติดมา ระหว่างเกิดเป็นมนุษย์ก็จะทำให้มนายืผู้นนั้น เป็นคนขยันในภพที่เป็นมนุษย์ก็มี

                ทีนี้การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ส่วนมากที่มาจากสัตว์เดรัจฉานมาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยการบำเพ็ญของกุศลอารมณ์ของจิตระหว่างภพชาติที่เป็นสัตว์นั้นๆ เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ในชาติแรกที่เริ่มเป็นมนุษย์นั้น มนุษย์เหล่านี้เป็นมนุษย์ที่ล้วนอยู่ในกามฉันทะคือ

                มนุษย์ประเภทที่หนึ่ง เอาแต่เสพกามข้องอยู่ในกาม มนุษย์เหล่านี้มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมจากอดีตชาติที่เคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน มาเป็นมนุษย์ในชาติแรก

                มนุษย์ประเภทที่สอง อาจจะมาจากพวกเทวดา พวกพรหมพวกที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ประเภทที่สองนี้ คือมนุษย์ที่เสพกามและสร้างเกียรติเพื่อประดับตน

                มนุษย์ประเภทที่สามคือมนุษย์อีกประเภทหนึ่งที่มีอนุสัยในอดีตชาติส่งเสริมมาสู่ปัจจุบันชาติ เป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติตนเหนือเกียรติเหนือกาม มนุษย์ประเภทนี้ เป็นประเภทที่เกิดมาแล้วชอบเป็นนักพรตนักบวช เรียกว่า มนุษย์เหล่านี้เกิดจากผู้ที่เคยเป็นพรหม เคยเป็นเทพ เคยบำเพ็ญมาเป็นชาติๆ ถ้าท่านศึกษาพุทธประวัติพระพุทธเจ้าสัมมาสัมพุทธโคตรมะของเรา ท่านจะทราบว่าพระองค์ต้องเกิดตั้ง ๕๐๐ ชาติ จึงได้เกิดเป็นสัมมาสัมพุทธะ  เพราะอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ เมื่อมาเกิดในมนุษยโลกก็แบ่งเป็น ๓ จำพวก คือ

มนุษย์ประเภทที่หนึ่ง เกิดมาแล้วเอาแต่เสพกามและข้องอยู่ในกาม มนุษย์ประเภทนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของกุศล และของจิตจากสัตว์เดรัจฉานที่พ้นขั้นมาสู่การเป็นมนุษย์

มนุษย์ประเภทที่สอง มาจากมนุษย์ที่บำเพ็ญบุญสุนทาน ทำสมาธิ และมาจากเทพพรหมที่หมดอายุขัยแห่งการเสวยทิพยอำนาจ มนุษย์ประเภทนี้ ชอบเสพกามแล้วก็สร้างเกียรติเพื่อประดับบารมี

มนุษย์ประเภทที่สาม คือมนุษย์ประเภท เหนือกามเหนือเกียรติ มาจากการเป็นเทพการเป็นพรหม การเป็นมนุษย์ที่เคยครองอยู่ในเพศนักพรตมาบ้าง บำเพ็ญมาเป็นชาติๆบ้าง มนุษย์ประเภทนี้มาจากพวกที่เปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ทั่วไปสองประเภทแรก มาสู่การเหนือเกียรติเหนือกาม ก็คือมนุษย์ประเภทนักพรต

เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า อนุสัยเปลี่ยนแปลงตามกฎอนิจจัง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ซึ้งตามทันธรรมะแห่งธรรมชาติของอนัตตา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า อนุสัยนั้นรับกันเป็นชาติๆ แล้วเปลี่ยนแปลงยกฐานะของอนุสัยขึ้นเป็นลำดับๆ นั้นแล

คุณขีด พูลประภัศร : แล้วอนุสัยนี้จะติดไปเพียงชาติเดียว หรือหลายชาติต่อไป

สมเด็จ : เป็นหลายๆชาติ

คุณขีด : แล้วจะหมดลงเมื่อไร

สมเด็จ : หมดกันต่อเมื่อบำเพ็ญตนเป็นนักพรต แล้วก็ทำสมาธิจิตดับอนุสัย เขาเรียกว่าสร้างอำนาจญาณให้แข็งแกร่ง ทำลายอนุสัยเดิม ที่อาตมาสอนอยู่ก็คือว่า ผู้ที่อยู่ในเพศของการเป็นนักพรต ถ้าตัดกิเลสไม่ได้ จงสร้างเตโชกสิณ เผาผลาญกายในกาย สิ่งเหล่านี้เรียกว่าไฟธรรมชาติเผาธรรมชาติ เรื่องนี้ท่านต้องทำเองแล้วจึงจะรู้เอง

คุณขีด : นิสัยเดิมที่ติดมาแต่ชาติก่อน เช่นเคยเป็นสัตว์เดรัจฉานมา แล้วเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีอากัปกิริยาต่างๆ ละม้ายคล้ายไปข้างสัตว์เดรัจฉาน สิ่งเหล่านี้ถ้าหากว่าเราจะลบเลือนเสีย เมื่อชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ เช่น สมมติว่ามาได้ครูได้อาจารย์ที่ดี หรือเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ดี สามารถจะดัดแปลงนิสัยนั้นได้ ไม่ให้ติดไปในชาติหน้าอีก จะเป็นไปได้ไหมครับ

สมเด็จ : ไม่ได้ เพราะว่าเพียงชาติเดียวย่อมไม่ได้ เสมือนหนึ่ง ไฟที่ท่านติดร้อนอยู่ในเตาถ่าน เมื่อท่านดับฉับพลันลงไปในความร้อนนั้น ก็ยังร้อนอยู่ จะต้องใช้กาลเวลาค่อยๆเย็นลง อนุสัยของจิตวิญญาณก็เปรียบเสมือนหนึ่งเตาถ่านที่ท่านติดไฟแดงจ้า แล้วท่านเอาน้ำรดลงทันที ทั้งๆที่ เปลวไฟดับแล้ว แต่ถ่านนั้นก็ยังร้อนอยู่  ฉันใดก็ฉันนั้น อนุสัยก็เปรียบง่ายๆให้เข้าใจ ก็คือดับเพียงชาติเดียว จะให้เย็นทันทีนั้นย่อมไม่มีทางองจิตวิญญาณก็เปรียบเสมือนหนึ่งเตาถ่านที่ท่านติดไฟแดงจ้า แล้วท่านเอาน้ำรดลงทันที ทั้งๆที

คุณขีด : ต่อไปนี้กระผมจะเรียนถามเพื่อให้ได้ประโยชน์แก่สาธุชนทั้งหลาย ที่มาชุมนุมฟังธรรมในที่นี้ เข้าใจว่าปัญหานี้คงไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาเฉพาะของกระผม ทุกๆคนก็คงสงสัย

                กระผมขอเรียนถามหลวงพ่อสมเด็จ ว่าในปัจจยาการปฏิจจสมุปบาทนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศนาว่า อวิชชา ปัจจยา สังขารา เป็นต้นนี่นะครับ ทำให้กระผมหวนระลึกว่า มนุษย์คนแรกที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้ มีจิตบริสุทธิ์หรือไม่

สมเด็จ : เพราะตัวอยากจึงทำให้เกิด

คุณขีด : มนุษย์คนแรกทีเดียวนะครับ

สมเด็จ : มนุษย์ในโลกนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงคนเดียวก่อน ไปอ่านเทศน์กัณฑ์เปิดโลกของอาตมาก่อน

คุณขีด :ก็เป็นอันว่า ความจริงบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ติดตามมาจากใจแล้วหรือครับ

สมเด็จ :อือม์

คุณขีด : แล้วสิ่งนั้นติดมาจากไหนเล่าครับ

สมเด็จ : สิ่งนั้นติดมาจากจิตวิญญาณเดิม ที่เป็นเทพที่จะมาจุติในโลกมนุษย์ ก็เกิดความอยากที่จะได้ลองลิ้มชิมกลิ่นหอม จึงเกิดเป็นมนุษย์ขึ้น ปัญหานี้เทศน์ไว้มากแล้ว เทศน์ไว้นานแล้ว ไปอ่านกัณฑ์เปิดโลกให้ละเอียด

คุณขีด :ครับผม แล้วก็ในสิ่งเหล่านี้มันเป็นปัจจัยพัวพันมาถึงกรรม ทีนี้กระผมอยากทราบกฎแห่งกรรมให้ละเอียดหน่อย เพราะกฎแห่งกรรมนี้เป็นกุญแจของบุญและบาป คนที่ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักบาปก็เพราะไม่รู้กฎแห่งกรรม บางคนก็ไม่เชื่อว่าบุญมีจริงหรือไม่ บาปมีจริงหรือเปล่า แล้วบางทีอยู่ๆก็ทำบุญกลายเป็นได้ผลบาป ทำบาปกลายเป็นผลดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าไม่ทราบชัดกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นกระผมอยากขอให้หลวงพ่อสมเด็จได้โปรดขยายกฎแห่งกรรมให้กว้างขวาง ให้เป็นที่รู้ชัดกันสักหน่อยครับ ว่ามีกฎเกณฑ์อันแท้จริงอย่างไร

สมเด็จ :กฎแห่งกรรมนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ก็เปรียบเสมือนหนึ่ง ธรรมชาติของการเติบโตของผลไม้ตามฤดูกาล กรรมที่ท่านสร้างมาในอดีตภพย่อมนำท่านมาสู่ปัจจุบันภพ ฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้กรรมเหล่านั้นที่ท่านทำไปแล้วแต่ท่านลืมเสีย เพราะอะไรเล่า เพราะว่ามนุษย์ที่ยึดว่าทำไมทำดีจึงไม่ได้ดี สิ่งเหล่านี้เพราะมนุษย์ผ็นั้นไม่โปร่งในขั้นสมุฏฐานของเหตุและปัจจัย ยกตัวอย่างเช่น

                ถ้าท่านหว่านพืชชนิดใดลง พืชชนิดนั้นจะขึ้นตามเหล่ากอพืชพันธุ์นั้น กรรมใดที่ท่านสร้างมาในภพที่ท่านลืมไปแล้ว แต่กรรมนั้นก็ยังตามเสวยตามภพชาติต่างๆ อยู่ซึ่งเปรียบง่ายๆ สมมติว่าเมื่อสองปีก่อน นี่คือวิธีการเกิด ดับ ที่ให้ดูง่ายๆ ท่านได้ฆ่าคนตายในที่แห่งหนึ่งในเมืองบางกอก ไปอยู่แก่งคอย เรียกว่าท่านไปเกิดภพโน้นๆทั้งๆที่ตัวของท่านคือคนเดิม แต่ไปอยู่ในภพนั้นในเมืองนั้น

                ในขณะนั้นท่านเกิดสำนึกผิดขึ้นมา ท่านอยู่ในเมืองนั้น ท่านจะเป็นคนที่ถือศีลทำทาน ให้ทาน ทำบุญเป็นมิตรกับชาวบ้านที่อยู่ด้วยกัน ชาวบ้านในภพนั้นก็ยกย่องสรรเสริญท่านว่าเป็นคนดีมีศีลมีธรรมน่าเคารพนับถือ แต่กรรมที่ท่านสร้างในบางกอก คือฆ่าคนในระหว่างปีโน้น กรรมอันนั้นย่อมตามท่านอยู่ ก็คือกฎของบ้านเมือง กฎของตำรวจ จะคอยติดตามท่าน

                เปรียบเสมือนหนึ่งการตามของภพของกรรมไปถึงที่นั่น แม้ว่าท่านกำลังถืออุโบสถอยู่ในโบสถ์ ถ้าตำรวจหลวงไปพบเข้าก็จะต้องจับท่านทันที คนในละแวกนั้นจะเกิดความไม่พอใจ หรือด่าทอตำรวจที่มาจับคนดีที่ถืออุโบสถอยู่ แต่กรรมที่เข้าสร้างในบางกอกนั้น ชาวบ้านในหมู่นั้นในภพนั้น ไม่มีใครรู้ นี่คือเปรียบเสมือนหนึ่งกรรม

                ทีนี้ในส่วนตัวท่านเองในระหว่างนั้น ท่านอาจจะลืมไปแล้ว เพราะเวลาล่วงเลยมาเป็นปีๆแล้ว คงไม่มีใครตามเราทันหรอก ต่อไปนี้จะพยายามสร้างความดี แต่ถึงกระนั้นเรื่องที่ผ่านมาก็ยังตกอยู่ในภวังคจิตของจิตใต้สำนึกของท่าน

                สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ให้พิสูจน์ง่ายๆของคำว่า กรรมก็คือกรรมใดที่ท่านสร้างมา ท่านจะต้องเสวยกรรมนั้นในภพใดภพหนึ่ง แต่ทีนี้ท่านที่เสวยกรรมในภพนั้นวันนั้น คนในหมู่นั้นในปัจจุบันชาตินั้นไม่เข้าใจ จึงทำให้เขาคิดว่า เอ คนนี้ คนนี้ ทำแต่ความดี ทำไมจึงไม่ได้ดี

                สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียด กฎแห่งกรรมคือกฎแห่งธรรมชาติ ย่อมทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ท่านสร้างกรรมดีในปัจจุบันนี้ กรรมอันนั้นอาจจะให้ท่านเสวยในภพอีกภพหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกงล้อแห่งกงเกวียนกำเกวียนที่จะแยกแยะออกมา ชาติไหนชาติอะไร ชาติโน้น ชาตินี้ เป็นสิ่งยากเพราะว่ามนุษย์เราแต่ละคนเกิดมาในปัจจุบันชาตินี้ เป็นภพเป็นชาติ ที่นับเป็นร้อยๆ พันๆ ชาติ เป็นกงเกวียนกำเกวียนที่ทับถมทั้งดีทั้งชั่ว โดยเจ้าตัวก็แยกแยะไม่ออก ยกตัวอย่างง่ายๆ เสมือนหนึ่งท่านท่านคิดแยกแยะตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น พอตกเย็นท่านมานั่งทบทวน ท่านก็ยังแยกแยะทบทวนไม่ค่อยออกว่า เวลาไหนท่านมีอกุศลอารมณ์ใด เวลาไหนท่านมีโทสจริต เวลาไหนท่านมีโมหจริต เวลาไหนท่านมีเมตตาจิต

                เพราะว่าการเคลื่อนไหวของของธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณนี้เร็วยิ่งกว่าอณูปรมาณูทั้งหลาย เร็วยิ่งกว่าปรอท เพราะฉะนั้นจึงแยกได้เพียงว่าท่านสร้างกรรมใดไว้ท่านย่อมต้องเสวยกรรมนั้นในภพชาติแน่นอน

                เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายที่ประกาศตนเข้าม้าเป็นพุทธสาวก เป็นพุทธมามกะ เป็นผู้ที่อยู่ในศาสนาจงเชื่อในเหตุผล อย่าเชื่อในสิ่งงมงาย จงสร้างความดีจะนำท่านให้เสวยความดีนั้น ไม่ภพใดก็ภพหนึ่ง

คุณขีด : นี่ก็นับว่าหลวงพ่อสมเด็จได้พิสูจน์และชี้แจงอย่างขาวสะอาดมากทีเดียวถึงจุดที่ควรจะรู้ได้เหมือนกัน ทีนี้เลื่อนมาถึงว่า กตัตตาวาปนกรรม คือกรรมสักแต่ว่าทำ คำว่า กรรมสักแต่ว่าทำนั้นหมายถึงว่าพระอรหันต์เจ้า พระขีณาสพกระทำ คือทำตามที่ธรรมชาติเขาให้ทำ มีอรรถาธิบายอย่างนี้ หรือจะมีอรรถาธิบายว่าคนสามัญทำโดยเจตนาชื่อว่าไม่บาป หลวงพ่อสมเด็จโปรดช่วยอธิบายด้วยเถิดครับ

สมเด็จ : กรรมอันนี้หมายความว่า ถ้าอรหันต์ทำด้วยมีสติพร้อม หมายถึงเป็นเพียงมหากิริยาจิต ถ้าคนสามัญทำ ทำด้วยความเลอะเหลิงหรือหลงไป กรรมนี้จะส่งผลได้ แต่ไม่ค่อยรุนแรง ส่วนมากจะกลายเป็นอโหสิกรรม ถ้าเพียงแต่เป็นกรรมเบา แต่ถ้าเป็นกรรมหนักก็ไม่เป็นอโหสิกรรม

                ทำไมกรรมหนักชื่อว่าไม่เป็นอโหสิกรรม เช่น เราสั่งฆ่าคนแล้วบอกว่าได้เจตนาฆ่า เช่นนี้ไม่ใช่กรรมประเภทนี้ เพราะจะต้องพิจารณาว่ามันจะต้องมีอะไรอย่างหนึ่ง จะเป็นโทสจริต โมหจริต หรือโลภจริต ที่ทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาวูบหนึ่ง ได้สร้างกรรมอันนี้ขึ้น

                ทีนี้กรรมอย่างที่บี้มดโดยไม่เจตนา ตบยุงโดยไม่เจตนา กรรมอันนี้อาจจะเป็นอโหสิกรรมได้ เพราะฉะนั้น กตัตตาวาปนกรรมนี้ ถ้าเป็นอริยบุคคลทำแล้วเขาทำด้วยสติพร้อม พิจารณาใคร่ครวญอย่างละเอียด เรียกว่าสติพร้อมอยู่เสมอที่จะทำในสิ่งนั้น

คุณขีด : ความหมายอย่างนี้ หมายได้ทั้งสองทางแหละครับผม แล้วทีนี้ก็ยังมีอีก คือว่าหากว่า เป็นอนันตริยกรรมนะครับ สมมติว่า บุตรคนหนึ่งไม่ได้เจตนาจะฆ่าบิดาของตนเอง หากแต่ว่าได้กระทำการอันหนึ่ง เช่นว่าพูด พูดอย่างหวังดีแต่หากว่าบิดาคิดมากไป แล้วถือเอาคำพูดของลูกนั่นแหละไปคิดแล้วทำให้เกิดความน้อยอกน้อยใจ แล้วก็ไปฆ่าตัวตาย กรรมอันนี้จะเป็นอนันตริยกรรมได้ไหมครับ

สมเด็จ : เพราะว่าเป็นกรร ที่สร้างวจีกรรมขึ้นมา วจีกรรมนี้มีเจตนาที่จะให้บุคคลนั้นเข้าใจลึกซึ้งว่า เป็นความหมายแห่งความดี ในการที่เจตนาให้ดีนั่นจะต้องใช้ปิยวาจา ถ้ารู้จักใช้ปิยวาจา อาตมาคิดว่าบุคคลนั้นไม่ถึงการทำลายตัวเอง ผู้ที่มีเจตนาจะให้ดีแต่ไม่รู้จักปิยวาจาในทางโวหาร จึงทำให้คนๆ นั้นต้องฆ่าตัวตาย อันนี้ถือว่าเป็นกรรมหนุน ส่งเสริม ให้เป็นอนันตริยกรรม

คุณขีด :ถ้าเป็นการส่งเสริมเท่านั้น โทษอเวจีก็คงจะลดจากที่ควรจะต้องรับจริงๆ

สมเด็จ :ลดเบาลงบ้าง เพราะไม่ได้เจตนาที่จะทำ

ข้อมูลอ้างอิง : หนังสือ ธรรมะจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์ ชุดแถลงการณ์จากโลกวิญญาณ  โครงการธรรมไมตรี  กรุงเทพ  ๒๕๓๖

Contribute!
Books!
Shop!