ประวัติหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
- Details
- Category: ประวัติท่านบรมครูสำนักปู่สวรรค์_cat
- Published on Friday, 26 July 2013 10:13
- Written by Super User
- Hits: 15571
พระประวัติ
สมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์(หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด)
รวบรวมเมื่อ วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๓
หลวงปู่ทวด เดิมชื่อ ปู ท่านเกิดที่ตำบลพะโคะ อำเภอจะทิ้งพระ ( ปัจจุบันคือสทิงพระ) จังหวัดสงขลา เมื่อวันแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ปีมะโรง ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๑๒๕ เวลา ๙ นาฬิกา บิดาของท่านเป็นชาวมุสลิมชื่อ หู มารดาของท่านเป็นชาวพุทธชื่อ จันทร์ ท่านเป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา ตอนให้กำเนิดท่านนั้น มารดาของท่านอายุได้ ๔๔ ปีแล้ว
หลวงปู่ทวดเริ่มเรียนหนังสือที่วัดดีหลวง ตำบลดีหลวง ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ท่านชอบการบวชเป็นพระมาแต่เด็ก เห็นพระสวดมนต์ก็คิดว่าดีจึงขออนุญาตพ่อแม่บวช แรกก็เพื่อทดลอง แต่เมื่อบวชแล้วกลับไม่ยอมสึกที่เป็นดังนี้คงจะเป็นด้วยบารมีเก่า ที่ท่านจะสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์หรือจะได้เป็นพระสังฆราชแห่งกรุงอโยธยา(กรุงศรีอยุธยา)นั่นเองที่ช่วยให้ท่านไม่อยากสึก
หลวงปู่ทวดบวชที่อำเภอจะทิ้งพระ ตอนที่ท่านบวชเป็นเณรนั้น บิดามารดาของท่านมีอายุ ๕๐ ปีเศษแล้ว ตอนท่านบวชเป็นพระมารดาท่านอายุ ๖๐ ปีเศษ เมื่อบวชแล้วท่านได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่จังหวัดนครศรีธรรมราชจนอายุได้ ๒๕ ปี ระหว่างที่บวชอยู่นั้น บิดามารดาของท่านซึ่งชรามากแล้วและมีท่านเพียงคนเดียวที่เป็นความหวังที่จะได้ตอบแทนบุญคุณปฏิการะบิดามารดา และหวังจะให้ท่านเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ได้ไปขอร้องให้ท่านสึก บิดามารดาไปอ้อนวอนขอให้ท่านสึกถึงหน้ากุฏิแต่ท่านไม่ยอมสึก ท่านถือว่าขนาดพระพุทธเจ้าเป็นถึงเจ้าชายและมีพระนางพิมพา พระราหุลแล้ว ยังทรงสละราชบัลลังก์ออกบรรพชาได้ แล้วท่านเป็นบุคคลธรรมดาจะบวชให้ตลอดไปมิได้หรือ นอกจากนี้ท่านยังถือว่าว่า การบวชของท่านย่อมอำนวยประโยชน์ในทางธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์อันสูงส่งกว่า ประโยชน์ในทางโลกแก่บิดามารดาของท่านอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสละบิดามารดารของท่านไปอยู่ที่สงขลาท่านอยากสอบเป็นมหาอาจารย์ ต่อมาท่านจึงเดินทางไปเมืองอโยธยา
ปรางค์โบราณ วัดพุทไธศวรรย์
ที่เมืองอโยธยา ท่านไปศึกษาวิชาการต่างๆอยู่ที่วัดพุทไธศวรรย์ ซึ่งวัดพุทไธศวรรย์นี้เป็นวัดหลวงที่พระเจ้าอู่ทองได้สร้างขึ้นเมื่อก่อนที่จะมีดารย้ายเมืองหลวงมาจากกรุงสุโขทัย โดยพระเจ้าอู่ทองได้เสด็จมาทางจังหวัดแพร่แล้วมาสร้างวัดนี้จากนั้นจึงสร้างกรุงอโยธยาเป็นเมืองหลวง พระเจ้าอุ่ทองมักเสด็จพระรายดำเนินไปทรวบำเพ็ญพระราชกุศลยังวัดนี้เสมอๆ และทรงได้พบกับหลวงปู่ทวดเป็นที่สบอัธยาศัยกัน ในทีสุดพระเจ้าอู่ทองทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทไธสวรรย์นั้น เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสามปีกุน พ.ศ. ๒๑๘๑ ต่อมาท่ายนจึงเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่านที่สงขลาอีกครั้งหนึ่ง
การเดินทางจากกรุงอโยธยาไปสงขลาในสมัยนั้นต้องใช้เรือใบแบบสำเภาเป็นพาหนะ ระยะทางไปกลกับใช้เวลาถึง ๑ ปี เมื่อท่านไปเยี่ยมแล้ว ขากลับจะเดินทาวจากสงขลาไปอโยธยาก็ได้มาลงเรือที่สงขลา ก่อนออกเรือ พวกลูกเรือลำที่ท่านจะโดยสารไปซึ่งเป็นชาวอิสลามได้ตั้งวงเล่นไพ่กันและเล่นกันเพลินจนลืมเตรียมน้ำจืดเอาไว้ใช้ในเรือ เมื่อเรือออกเดินทางคนจึงไม่มีน้ำกิน พวกชาวเรือเหล่านั้นได้พากันกล่าวหาว่าเหตุการณ์ทั้งนี้เป็นเพราะมีภิกษุจัญไรคือท่านนั่นเองจึงทำให้พวกเขาลืมนำเอาน้ำจืดลงเรือไปด้วยจะพากันอดน้ำตาย แล้วตกลงจะจับท่านไปปล่อยไว้ที่เกาะหนูเกาะแมว ท่านจึงอธิษฐานบารมีว่า “ หากแม้ข้านี้สามารถที่จะสืบต่อพุทธศาสนา ทำงานให้ศาสนารุ่งเรือง ขอให้น้ำทะเลบริเวณที่เท้าเหยียบลงไปนี้จงกลายาเป็นน้ำจืดเถิด”แล้วท่านก็เอาเท้าจุ่มลงทะเล น้ำบริเวณจุ่มเท้าลงไปนั้นก็กลายเป็นน้ำจืดพวกชาวสำเภานั้นจึงได้ตักขึ้นไว้ใช้ในเรือ ๑๓ โอ่ง มีน้ำใช้ตลอดทางถึงอโยธยา และด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้นั่นเอง ท่านจึงได้รับสมญานามว่า “หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด”
หลังจากมาอยู่ที่อโยธยาได้ ๒ ปี (นับจาก พ.ศ. ๒๑๘๑)ชาวลังกาได้มาล้อมเมืองอโยธยาไว้ และได้ตั้งปริศนาธรรมท้าพนันเอาเมืองอโยธยา ท่านได้กู้บ้านเมืองไว้โดยอธิษฐานบารมีว่า ถ้าท่านมีบารมีจะช่วยได้ก็ขอให้เกิดปัญญาแก้ปริศนาธรรมออก ในที่สุดท่านก็แก้ปริศนาธรรมได้ กรุงอโยธยาไม่ต้องตกเป็นของชาวลังกา ด้วยคุณความดีของท่านในด้านต่างๆรวมตลอดทั้งที่ได้กล่าวมานั้น พระรามาธิบดีที่๒ (โอรสพระเจ้าอู่ทอง)จึงทรงสถาปนาให้ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงอโยธยาทรงพระนามว่า “สมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์”
หลวงปู่ทวดไม่ติดยศถาบรรดาศักดิ์ การได้รับตำแหน่ง พระสังฆราชนี้ท่านเทศน์เล่าว่า “เมื่อได้รับทีแรกๆเราก็ไม่รู้สึกว่าเป็นสังฆราช เราก็ต้องทำตามแบบองค์สมณโคดมจะไปไหนๆหรือไปในวังเราก็เดินไป แต่เขาบอกว่าไม่ได้ท่าน เป็นสังฆราชเดินไม่ได้ ต้องใช้คนแบกไป นั่งเปลอะไรก็ไม่รู้ สองคนแบกกันไป อาตมาคิดในใจว่าแย่แล้ว พอเป็นสังฆราชก็กลายเป็นคนป่วย เดินไม่ได้ ต้องให้เขาหาม ทีนี้ถ้าขืนหลอยู่ในตำแหน่งนี้เราก็ยิ่งฟุ้งกันใหญ่ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร...”
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงหนีไปจำพรรษาอยู่ ณ น้ำตกทรายขาว(ปัจจุบันอยู่ที่ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี) ตอนที่ท่านสละตำแหน่งสังฆราชนี้เป็นวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๑๙๓ รวมเวลาที่ท่านวัดพุทไธศวรรย์ ๙ พรรษาและรวมเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งพระสังฆราช ๓ พรรษา
ที่ท่านหนีไปหาความวิเวกที่น้ำตกทรายขาวนั้น ท่านปลงตกว่าท่านต้องการความสำเร็จด้านนามธรรม ต้องการจะเอาความดีในปรภพ ถ้าท่านขืนบ้ายศเป็นสังฆราชอยู่ก็คิดว่าจะไม่มีทางหลุดพ้น เพราะว่าสังฆราชจะต้องพัวพันกับโลกพัวพันกับการเมือง พัวพันกับเศรษฐกิจ
เมื่อไปอยู่น้ำตกทรายขาวนั้น ท่านเทศน์เล่าว่าตอนนั้นท่านใช้วิธีบำเพ็ญจิตแบบเพ่ง
กสินน้ำ โดยท่านอธิบายว่า “ วิธีการพิจารณาของอาตมาที่บำเพ็ญอยู่นั้น อาตมาไม่ได้มีอะไร อาตมาเริ่มด้วยการเพ่งน้ำในน้ำตกว่า น้ำนี้ไหลมาอย่างไร มาจากจุดใด มาอย่างไร ไปอย่างไร จึงรู้มันเป็นน้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องนามธรรม มิฉะนั้นองค์สมณโคดมจะไมเทศน์เอาไว้ว่า ผุ้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดปฏิบัติธรรมผู้นั้นรู้เอง
หลวงปู่ทวดท่านบำเพ็ญที่น้ำตกทรายขาวอยู่ ๔ ปีซึ่งการที่ได้มีโอกาสหนีมาอยู่น้ำตกทรายขาวนี้ ท่านชี้แจงว่า “นั่นแหละสุขที่สุด คือการเป็นนักพรตที่ดี จะต้องไม่มีห่วงและไม่ได้มีตำแหน่งเป็นอะไรเลย”
คนสมัยก่อน ถ้าเดินทางไกลก็ใช้ช้างเป็นพาหนะ ถ้าเดินทางระยะไกลก็ใช้ม้าเป็นพาหนะ หลวงปู่ทวดมีช้างเผือกมาอยู่กับท่านเชือกหนึ่ง ท่านใช้ช้างเชือกนี้เป็นพาหนะ น้ำตกทรายขาวในสมัยนั้นเป็นป่า ชุกชุมด้วยยุง งู ช้าง สิงโต และเต็มไปด้วย ไข้ป่าไข้ห่า เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะมืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่ลายมือของตนเอง รอบตัวมีแต่เสียงสัตว์ร้อง อาหารการกินก็ไม่มี จำพรรษาครั้งหนึ่งๆอย่างน้อย ๙๐ วัน บางที่อยู่เป็นปีไม่ได้ออกจากหุบเขา ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันหรือรอยเท้ามนุษย์ ท่านต้องผจญมารในรูปต่างๆมีสัตว์ร้ายที่จะมาทำร้ายท่านบ้าง วิญญาณที่ที่คอยยมารบกวนท่านบ้าง ท่านอยูป่าคนเดียวแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ท่านต้องยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อค้นพบสัจธรรม
รอยเท้าบนก้อนหิน เชื่อว่าเป็นรอยเท้าที่หลวงปู่ทวดอธิษฐานเหยียบไว้ ณ วัดพะโค๊ะ จ.สงขลา
ขอขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=daynight&month=09-2009&group=7&gblog=11&date=12
บางครั้งท่านไปอยู่ที่วัดพะโคะบ้าง ที่กระทิงผาบ้าง แต่อยู่ไม่นาน สำหรับที่วัดพะโคะนั้น เดิมเป็นที่พักสงฆ์เท่านั้นต่อมาพระยาปัตตานีได้ไปบูรณะเสียใหม่ และที่วัดพะโคะนี้มีอนุสรณ์ของหลวงปู่อยู่อย่างหนึ่งคือ รอยเท้าสองรอยที่ท่านประทับไว้ เป็นรอยที่ใหญ่มาก เพราะคนโบราณนั้นตัวโตกว่าคนเดี๋ยวนี้ และก็เนื่องด้วยแรงอธิษฐานด้วย คือเรียกว่าสัจบารมีอธิษฐานบารมีนั่นเอง การกระทำใดๆก็จะสำเร็จได้นั้นท่านสอนว่า จะต้องมีสัจจะอธิษฐานและขันติบารมี
จากนั้นท่านได้ไปอยู่ที่คาบสมุทรเกาะแก้วพิสดาร ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกว่าหนองภูเก็ต พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชบัญชาให้คนไปเที่ยวติดตามหาท่านที่นี่ ท่านอยู่ที่หนองภูเก็ตเป็นเวลา ๑๐ ปี อยู่ที่เกาะแก้วพิสดารในหนองภูเก็ต ๕ ปี เกาะแก้วพิสดารนั้นรอบด้วยทะเล มีพวกชาวทะเลอยู่กันที่นั้นไม่กี่ครอบครัว และเต็มไปด้วยโจรสลัด ท่านปลูกมันกับถั่วเลี้ยงตัวเองอยู่ที่นั้น และนานๆจึงจะได้อาหารจากพวกโจรสลัดมาถวายเสียทีหนึ่ง ทั้งนี้เพราะนั้นเรียกว่าเกาะประหาร เวลาพวกโจรสลัดปล้นเสร็จแล้วก็มาฆ่ากันบนเกาะ ฆ่าแล้วพวกโจรสลัดก็นิมนต์ท่านไปสวดมศพแล้วก็ถวายอาหาร ท่านฉันถั่วฉันผักเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งท่านก็ฉันหญ้าขมเป็นยาด้วย เดิมหลวงปู่ทวดฉันหมากด้วย ท่านเลิกหมากเมื่ออายู ๗๐ ปี
การอยู่ทะเลคนเดียวสิ่งที่ได้มาก็คือทำให้จิตท่านแข็งแกร่ง ทำให้จิตท่านหลุดพ้น ทำให้จิตท่านสงบ ทำให้จิตท่านมีสติพร้อม ท่านให้ข้อคิดว่า “คนเราควรอยู่ในที่วิเวกในที่มีอันตราย ในที่ที่ขัดสน หรือเต็มในที่ที่เต็มไปด้วยไข้ชุกชุมนั่นแหละจิตจึงไปสู่วิมุตติได้”
ต่อมาท่านออกมาสร้างวัดช้างไห้ที่จังหวัดปัตตานี การสร้างวัดช้างไห้นี้เกิดขึ้นจากการที่คืนวันหนึ่งเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ พ.ศ.๒๑๙๘ ท่านได้บำเพ็ญจิตจนสำเร็จอนาคตังสญาณ ท่านจึงตั้งปณิธานที่จะสร้างวัดขึ้นที่จังหวัดปัตตานีเพื่อเป็นอนุสรณ์ของความสำเร็จของการบำเพ็ญนี้ วิธีการที่สร้างวัดนี้ท่านใช้วิธีนั่งสมาธิไปบนหลังช้าง ให้ช้างเดินไปเรื่อยๆช้างร้องที่ไหนก็สร้างวัดที่นั่น ช้างที่ท่านนั่งมารร้องตรงที่วัดนี้ท่านจึงสร้างวัดนี้และให้ชื่อว่า “วัดช้างไห้” อันหมายถึงเป็นวัดที่ช้างชี้ให้สร้างตรงนี้ ท่านกับสามเณรพรซึ่งมาอยู่กับท่านตอนที่จะสร้างวัดช้างไห้นี้ ช่วยกันสร้างวัดช้างไห้ โดยเริ่มสร้างด้วยไม้มุงด้วยจากก่อน แล้วจึงค่อยๆบูรณะเรื่อยมา ตอนที่ท่านอยู่วัดช้างไห้นั้น มีคนไปขอให้ท่านช่วยรักษาโรคให้มากมายท่านโปรดสัตว์อยู่ที่วัดช้างไห้ได้ ๒ ปี เห็นว่าอยู่เช่นนี้ไม่มีทางสำเร็จ ท่านจึงหนีจากวัดช้างไห้ไปอยู่ที่ไทรบุรี
ที่ไทรบุรีนั้น ท่านอยู่ในป่าลึก วันแรกที่ท่านปักกลดลงไปนั้นตรงที่นั้นเป็นป่าช้าช้าง ช้างมาล้อมท่านเต็มไปหมดท่านจึงส่งกระแสจิตไปว่า “ ถ้าข้าสามารถบำเพ็ญจิตสำเร็จในด้านจิตวิญญาณที่จะเป็นคนกู้ศาสนาได้ ก็ขอให้ช้างกราบข้าซี” ท่านสอนลูกศิษย์ว่าคนเรามันต้องอย่าถอยแล้วต้องแผ่เมตตาอย่างเช่นตอนที่ท่านไปอยู่น้ำตกทรายขาวใหม่ๆ นั้นท่านไปอยู่ในที่พำนักของเสือโคร่งสามตัว กลางวันมองไม่เห็นมัน กลางคืนมันออกมา ท่านต้องแผ่เมตตาให้มันและอธิษฐาน ท่านอยู่ที่ไทรบุรี แล้วเดินทางต่อไปยังกลันตันจากนั้นจึงไปปอยู่ที่เขาอีโปห์ ปัจจุบันเขาอีโปห์นี้อยู่ในรัฐเปรูประเทศมาเลเซีย ที่เขาอีโปห์นี้เป็นแหล่งบำเพ็ญแห่งสุดท้ายของท่าน ท่านทิ้งสังขารที่เขาอีโปห์ อัฐิของท่านอยู่ในถ้ำเขาอีโปห์ เมื่อตอนสำนักปู่สวรรค์สร้างพระสมเด็จดิน ๙ ประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ นั้น หลวงปู่ทวดก็ได้มีพระบัญชาให้อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ไปนำดินศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเขาอีโปห์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านทิ้งสังขาร มาผสมเป็นเนื้อพระสมเด็จดิน ๙ ประเทศด้วย
ท่านทิ้งสังขารเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม ตรงกับวันพุธที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๒๒๔ เวลา ๒๓.๔๕ น. สิริรวมชนมายุ ๙๙ ปี ๓ วัน ตลอดชีวิตตั้งแต่บวชจนสิ้นสังขารไปจากโลกมนุษย์ ท่านใช้จีวรเพียง ๔ ชุดเท่านั้น
หลวงปู่ทวดเคยอธิบายให้สานุศิษย์ที่กราบเรียนไต่ถามทราบว่า ตอนที่ท่านมีสังขารอยู่นั้น การบำเพ็ญของท่าน ท่านยังไม่ได้ตั้งความปรารถนาอะไร ท่านตั้งใจปฏิบัติในจุดของเมตตาเป็นใหญ่ เมื่อท่านทิ้งสังขารจากโลกมนุษย์แล้วท่านไปบำเพ็ญต่อในโลกในโลกวิญญาณเข้าซึ้งถึงคำว่า พุทธะ พุทธะแห่งยุค พุทธปัญญา ทั้งสองอย่างนี้ต้องมีความปรารถนา ท่านจึงได้ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า บนสวรรค์ท่านอยู่มาหมดทุกชั้น แต่ที่อยู่ในขณะนี้ตามที่ท่านเทศน์โปรดเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘ คืสวรรค์ชั้นดุสิต ท่านให้คำอธิบายว่า ผู้ที่เตรียมตัวเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ผู้ที่จะเข้ารับผิดชอบเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ก็ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นพรหมเป็นอะไรก็ตามก็ต้องมาอยู่ชั้นดุสิต เพราะว่าชั้นดุสิตนี้เป็นจุดเตรียมที่จะขึ้นสูงและลงต่ำ ชั้นดุสิตเป็นชั้นที่ใกล้มนุษย์ทให้ทราบเหตุการณ์ของโลกมนุษาย์ได้ง่าย ไม่ใช่เป็นสวรรค์ที่เจาะจงให้เทวดาเท่านั้นที่อยู่ชั้นนี้ได้ และท่านบอกด้วยว่าพระศรีอริยเมตไตรยเวลานี้ก็อยู่ชั้นดุสิต
การที่ท่านลงมาทำงานที่สำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์นั้นท่านเทศน์อธิบายว่า ท่านเดินตามแนวโพธิสัตว์ คือทำทุกวิถีทางที่จะให้สัตวโลกมีความสุข ท่านจึงลงมาช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกาย ( รักษาโรค ) และใจ ( เทศนาสั่งสอน ) แก่มนุษย์
ท่านจะมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์ยุคนี้ย่อมเติบโตไม่ทันการ จึงใช้วิธีมาผ่านร่าง และการที่ที่ท่านมาผ่านร่าง อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ก็เพราะในอดีตชาติมีกรรมพัวพันกันมา การที่ท่านลงมาในโลกมนุษย์นี้ท่านไม่ได้มาหากินกับมนุษย์ หากแต่สืบเนื่องมาจาก ภาวะกลียุคที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ จึงทำให้พระเถระแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์จักรีต้องดิ้นรนลงมาตั้งสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์ขึ้น และด้วยเหตุแห่งการตั้งนี้เอง จึงทำให้ท่านซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสำนักปู่สวรรค์ในโลกวิญญาณ ( ตั้งอยู่ที่สวรรค์ชั้นที่ ๕ เป็นที่พำนักของบรมครูของสวรรค์ ปู่ครูที่สวรรค์ หรือพวกมีวิชาความรู้บนสวรรค์ เทพพรหมทุกชั้นฟ้า ที่เป็นพวกมีวิชาความรู้เขาเอาที่นั่นเป็นที่พบปะกันบนสวรรค์) ต้องมาเป็นประธานดูแลสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์นี้ด้วย ฉะนั้นการทำงานของสำนักปู่สวรรค์ซึ่งดำเนินการราว ๑๕ ปี ตลอดมานี้ จึงไม่เหมือนใคร เป็นการทำงานกันอย่างมีระเบียบและทำงานกันอย่างเปิดเผย ไม่มีการซ่อนเร้นใดๆทั้งสิ้น
อาคารประวัติศาสตร์สำนักปู่สวรรค์
สำนักปู่สวรรค์ตั้งขึ้นโดยมติของโลกวิญญาณ อันมีพรหมโลก เทวโลกและนรกโลก จึงเป็นการทำงานของโลกวิญญาณโดยตรง เพื่อช่วยสัตวโลกที่กำลังตกอยู่ในทะเลแห่งความบ้าคลั่งในยุคแห่งกลียุคนี้สำนักปูสวรรค์มีหน้าที่แก้ เรียกว่ามีหน้าที่ปิดทองก้นพระ
นอกจากหลวงปู่ทวดจะเป็นองค์ประธานดูแลสำนักป่สวรรค์แล้ว ท่านยังมีพระเมตตาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้มนุษย์โดยแนะนำตัวยาและบอกวิธีดุลกรรมให้ นอกจากนี้ท่านยังช่วยรักษาไข้ใจโดยการประทานโอวาทเทศนาสั่งสอนธรรมะให้ด้วยดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อสำนักปู่สวรรค์จัดสร้างวัตถุมงคลต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ ท่านก็ได้มีพระเมตตาลงพลังปลุกเสกให้ตลอดมา
ส่วนปัญหาว่ามนาย์จะมีความเข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณ หรือการทำงานของสำนักปู่สวรรค์หรือไม่นั้น ท่านได้ให้ทัศนะเมื่อตอนเทศน์โปรดชาวลำปางที่ไปเยือนสำนักปู่สวรรค์ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ในปัญหาข้อนี้ว่า “ความเชื่อก็ดี ความยึดถือก็ดี ความศรัทธาก็ดี แล้วแต่ท่านพิจารณา แล้วแต่ท่านจะยึดถือ เพราะว่าทุกคนเขาเรียกว่าสวรรค์สร้างให้เรามี มนุษยสมบัติแห่งการมีสติสัมปชัญะ แห่งการมีสมองในการคิด ในการทำ ในการพูด ท่านต้องใช้วิจารณญาณแห่งการเป็นมนุษย์พิจารณา”
เอกสารอ้างอิง
๑.เค้าโครง ประวัติหลวงปู่ทวด ( เหยียบน้ำทะเลจืด ) เจ้าหน้าที่แผนกวิชาการสำนักปู่สวรค์ รวบรวมเมื่อ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๒๑
๒.หนังสือและเอกสารต่างๆที่สำนักปู่สวรรค์และสมาคมศาสนาสัมพันธ์จัดพิมพ์เผยแพร่
เอกสารอ้างอิงของเว็บ
๑.โครงการธรรมไมตรี ธรรมะจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ๒๕๓๖