กำหนดการ-ประชุมใหญ่ ชอม. ปี 62
- Details
- Category: สำนักปู่สวรรค์_cat
- Published on Thursday, 14 March 2019 15:06
- Written by Super User
- Hits: 2168
มูลเหตุในการสร้างองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย
เมื่อสำนักปู่สวรรค์เริ่มดำเนินงานโปรดสัตว์มาได้ระยะหนึ่ง เทพเจ้าแห่งแหลมสุวรรณภูมิ และเทพารักษ์รายงานว่า แหลมสุวรรณภูมิ จะเกิดกลียุคอย่างหนัก สำนักปู่สวรรค์จึงดำเนินการเพื่อแก้อาถรรพ์ คลายความเดือดร้อนของแหลมสุวรรณภูมิ อาศัยพระบารมีของ พระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรยที่สถิตอยู่สวรรค์ชั้นที่สี่คือสวรรค์ชั้น ดุสิต ขอให้แผ่รัศมีมาช่วยโลกมนุษย์ด้วย พร้อมทั้งเทพ พรหมที่ อธิษฐานจิตเพื่อขอมาเกิดเป็นพระอรหันต์ในยุคนั้น มาเพื่อพิทักษ์แหลมสุวรรณภูมิให้คลายความเดือดร้อนลง
ในองค์สมมตินั้นบรรจุดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๗ ประเทศ คือ ไทย ลาว มาเลเซีย พม่า กัมพูชา เวียดนาม และอินโดนิเซีย อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ เจ้าสำนักปู่สวรรค์ ได้รับบัญชาให้เดินทางไปเชิญดินศักดิสิทธิ์ ณ ประเทศนั้นๆ เมื่อได้ดินมาแล้ว ทำพิธี ลงพลังจิตเทพพรหมลงในดิน เมื่อวัน อังคาร ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๓ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ เป็นวันวิสาขบูชา
การดำเนินการสร้าง
อนุสนธิมติโลกวิญญาณผ่านสำนักปู่สวรรค์ดำเนินการโดยพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ของสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์แห่งกรุงศรีอยุธยา(หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด)ได้สร้างองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย เพื่อประโยชน์คือ
๑.แก้อาถรรพณ์ คลายความร้อนแห่งไฟอเวจี
ที่จะลุกโพลงขึ้นในแหลมสุวรรณภูมิ(ภัยจากสงครามการเข่นฆ่า
เนื่องจากลัทธิการเมือง ที่อาจลุกลามกลายเป็นสงครามโลกได้)
๒.ประดิษฐานไว้ที่หน้ามุขบนพระตำหนักสำนักปู่สวรรค์ ให้มนุษย์ทุกรูปทุกนามที่ไปเยือนสำนักปู่สวรรค์ได้สักการะบูชา
๓.ส่งเสริมพระพุทธศาสนาในระยะกึ่งพุทธกาล ให้ยั่งยืนสืบต่อไปเป็นการสร้างมหากุศลให้บังเกิดความร่มเย็น แก่ประชาชนในแหลมสุวรรณภูมิ
๔.กระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านให้แน่นแฟ้นอัน เป็นทางนำไปสู่สันติภาพในดินแดนแถบนี้เป็นเบื้องต้น และสู่สันติภาพของโลกในที่สุด
ลักษณะ
ลักษณะขององค์สมมติจำลองแบบมาจากโลกวิญญาณ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี มีบัญชาให้ช่างปั้นนุ่งขาวห่มขาวอาบน้ำมนต์ ดื่มน้ำมนต์ จุดธูปเทียน แล้วลงมือปั้น ขนาดขององค์สมมติ มีขนาดหน้าตัก
กว้าง ๓ ศอก สูง ๓ ศอกพระเจ้าวรวงศ์พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ ทรงเป็นประธานเททอง เมื่อ วันเสาร์ ที่ ๑๘ ก.ค. ๒๕๑๓ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ปีจอ ตรงกับวันอาสาฬหบูชา เวลา ๑๓.๐๐ น.
ในวันนั้นมีสานุศิษย์และประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธา มาร่วมงาน ณ สำนักปู่สวรรค์ ได้พร้อมกันน้อมจิตอธิษฐานในการเททองหล่อองค์สมมติ และได้เปล่งวาจาพร้อมกัน ๓ ครั้งดังนี้
การเททองครั้งที่๑ "ขอให้พระราชวงศ์จักรี ทรงพระเจริญอยู่คู่ฟ้า"
การเททองครั้งที่๒ "ขอให้แหลมสุวรรณภูมิร่มเย็น และมวลมนุษย์ทั่วโลกอยู่เย็นเป็นสุข"
การเททองครั้งที่ ๓ " ขอให้สยามประเทศอยู่รอดปลอดจากภัยพิบัติทั้งปวง"
ต่อมาท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เจ้าแห่งพิธีการของโลกวิญญาณเสด็จมาบรรจุดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๗ ประเทศไว้ในพระเศียรขององค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ตรงกับวันขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๙ ปีจอ เวลา ๒๑.๐๐ น.
ครั้นถึงวันอังคารที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๓ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ ปีจอ สำนักปู่สวรรค์ได้จัดพิธีอัญเชิญองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรขึ้น ประดิษฐานบนมุขพระตำหนักสำนักปู่สวรรค์
โดยรอบเชิงแท่นประดิษฐานองค์สมมติ มีจารึกขอ้ความดังนี้
" เรื่องสร้างองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรนี้ มติโลกวิญญาณผ่านสำนักปู่สวรรค์ดำเนินการโดยดวงพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของ หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) เพื่อแก้อาถรรพณ์คลายความร้อนแหลมสุวรรณภูมิ ซึ่งในขณะนั้นเป็นกลางกลียุค ในพิธีเททองหล่อองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ ทรงเป็นประธาน ซึ่งเป้นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ในจักรีวงศ์ เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม ถือเป็นวันอาสาฬหบูชา พุทธศักราช ๒๕๑๓ เวลา๑๓.๐๐ น.
ต่อมาท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เจ้าแห่งพิธีการของโลกวิญญาณ ตำแหน่งผู้พิชิตมารและเป็นหัวหน้ารูปพรหมเสด็จมาบรรจุดินจากสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ ๗ ประเทศ ไว้ในพระเศียร
เมื่อวันขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๙ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม เวลา๒๑.๐๐ น.(ดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๗ ประเทศในแหลมสุวรรณภูมิ คือ ประเทศไทย ลาว พม่า มาเลเซีย เขมร เวียดนาม อินโดนีเซีย) เมื่อวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๓ ได้จัดพิธีอัญเชิญองค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรยนี้ ขึ้นประดิษฐานบนพระตำหนักที่ท่านเห็นอยู่ในขณะนี้"
ม.จ.จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ทรงเบิกพระเนตรองค์สมมติ
พิธีเฉลิมฉลอง
สำนักปู่สวรรค์ ได้จัดงานเฉลิมฉลองเจิมและเบิกพระเนตรองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริย เมตไตรย ณ สำนักปู่สวรรค์ ซ.จตุรงค์สงคราม กำหนดงาน ๓ วัน เริ่มวันศุกร์ที่ ๑๙ ถึงอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๑๓ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำถึง ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน งานนี้ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล เป็นประธานจัดงาน ฯพณฯอภัย จันทวิมล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานจัดงาน ม.จ. จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ทรงเบิกพระเนตรองค์สมมติ
องค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรย์มีน้ำพระเนตรไหลเป็นที่มหัศจรรย์ยิ่ง
เหตุการณ์สำคัญ
งานฉลององค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรครั้งนั้นทำในเดือน ๔ เป็นฤดูแล้ง ตามปกติในกรุงเทพไมมีฝนตกในฤดูนี้ แต่น่าประหลาดคือเมื่อใกล้เวลาเปิดงาน ฝนได้ตกอย่างหนักพร้อมทั้ง้สียงฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อรถเอกอัครราชทูตและผู้แทน
ประเทศมาถึง เจ้าหน้าที่ต้องกางร่มไปรับที่รถ ฝนตกหนักอยุ่ครุ่หนึ่ง พอได้เวลาเปิดงานทั้งฟ้และฝนได้หยุดลงอย่างฉับพลัน ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน
และมีเรื่องมหัศจรรย์ที่จะกล่าวถึงด้วยคือ ภายในพระเศียรองค์สมมติ นั้นบรรจุดินศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแห้ง และวิธีเบิกพระเนตร คือใช้สำลีจุ่มน้ำพระพุทธมนต์ และที่พระเนตรองค์สมมติ เมื่องานฉลององค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตร เสร็จลง บรรดาสานุศิษย์และประชาชนต่างก็พากันไปกราบไหว้บูชาในโอกาสนั้น
องค์สมมติพระศรีอริยเมตไตรยน้ำพระเนตรไหลในวันเฉลิมฉลอง
เกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้นคือ องค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรยมีน้ำพระเนตร (น้ำตา)ไหลซึมทั้งสองพระเนตรไหลผ่านพระปรางไปหยุดที่ฝ่า พระบาทซึ่งหงายอยู่ เป็นอย่างนี้จนวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์ ที่ ๒๐ มีนาคมท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระเสด็จมาใช้สำลีเช็ด น้ำพระเนตรจึงหยุดไหล
ได้ทราบในโอกาสต่อมาว่า การที่องค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตร หลั่งน้ำพระเนตรดังนั้นเป็นเครื่องหมายแสดงถึงพระเมตตา กรุณา ที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์ผู้ต้องต่อสู้กับกรรมวิบากในกาลกลียุคนี้
พระคาถาบูชา
เมตตานะ ศรีอริยะเมตโต พุทธา นะมะ สันติเกโล อะนาคามิ สาธุ สาธุ สาธุ
ท่านสามารถนมัสการสักการะองค์สมมติพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรยได้ทุกวันที่สำนักปู่สวรรค์ ซ.เพชรเกษม ๖๕ บางแค ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.
ประวัติสำนักปู่สวรรค์ รวบรวมโดย ศ.สวรรค์รำลึก
มูลเหตุของการตั้งสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์
สำนักปู่สวรรค์ตั้งขึ้นโดยมติของโลกวิญญาณ คือ พรหมโลก เทวโลก นรกโลก โดยที่โลกมนุษย์นี้แท้จริงเป็นสื่อกลางแห่งการมาใช้กรรมของเหล่าวิญญาณจากโลกวิญญาณ โดยการกำเนิดมาใช้ชีวิตเป็นสัตว์โลกเพื่อใช้กรรมทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อน จึงถือได้ว่าโลกวิญญาณควบคุมโลกมนุษย์อยู่อย่างใกล้ชิด และคราใดที่กลียุคอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ โลกวิญญาณจะส่งพระบรมศาสดามาปฏิสนธินำหลักแห่งความดีมาประกาศแก่มวลมนุษย์ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของมวลมนุษย์ให้สูงขึ้น เพื่อยุติการเข่นฆ่า เบียดเบียนกัน ช่วยให้มนุษยชาติอยู่เย็นเป็นสุข ด้วยเหตุที่พระบรมศาสดาเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ต่างยุคต่างสมัยกัน จึงเป็นต้นกำเนิดของศาสนาต่างๆที่มนุษย์รู้จักและยึดถือเป็นหลักทางใจมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ท่านบรมครูของสำนักปู่สวรรค์ทั้งสามพระองค์
กาลต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาล่วงเลยมาสู่ ๒,๕๐๐ ปี อันเป็นเวลาที่โลกวิญญาณประเมินได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งกาลใกล้กลียุคของโลกมนุษย์ซึ่งมนุษย์และสัตว์ในโลกจะได้รับภัยพิบัติต่างๆทั้งจากมนุษย์ด้วยกันที่มีศีลธรรมเสื่อมลง และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่จะย้อนมาทำลายมนุษย์ที่จะทวีความรุนแรงขึ้นมาอันจะยังให้มนุษย์ทั้งหลายต้องล้มตายเป็นอันมาก
โลกวิญญาณมีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือโลกมนุษย์ด้วยการมีมติให้ตั้งศูนย์กลางการทำงานระหว่างโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ขึ้นที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ให้ชื่อว่า “สำนักปู่สวรรค์”
คำว่า “สำนักปู่สวรรค์” หมายถึงสำนักแห่งบรมครูจากสรวงสวรรค์ ( ปู่ มาจากคำว่า ปู่ครู หมายถึงบรมครู ) มติโลกวิญญาณมอบให้พระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของ พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด ) เป็นประธานสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์ พระโพธิสัตว์องค์นี้ในอดีตชาติคือสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์แห่งกรุงอโยธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แต่ท่านได้สละตำแหน่งพระสังฆราชโดยหลีกเร้นไปบำเพ็ญที่น้ำตกทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และท่านได้เดินทางไปแสวงหาสัจจธรรม จนได้บรรลุอนาคตังสญาณ และในวาระสุดท้ายท่านได้ทิ้งสังขารที่ถ้ำเขาอีโปห์ รัฐเปรัค ปัจจุบันอยู่ในประเทศมาเลเซีย เมื่อท่านทิ้งสังขารไปสู่โลกวิญญาณได้ไปบำเพ็ญโพธิสัตว์บารมีต่อที่โลกวิญญาณ และได้ตั้งปณิธานที่จะเป็นพระพุทธเจ้า สืบต่อจากพระบรมโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย
ดวงพระวิญญาณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี ดำรงตำแหน่ง “องค์อำนวยการสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์” ในอดีตเมื่อดำรงสังขารเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ได้รับการยกย่องเป็นพระอมตะเถระแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อทิ้งสังขารจากโลกมนุษย์ได้ไปสถิตอยู่พรหมโลกชั้นที่ ๑ ปัจจุบันเป็นพรหมชั้น ๑๖ บำเพ็ญโพธิสัตว์บารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อจากหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)
ดวงพระวิญญาณท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาและเจ้าพิธีการของสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์ ในอดีตชาติของท่านเป็นศิษย์เอกของพระโมคคัลลานะในสมัยพุทธกาล ได้สำเร็จพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ แต่ได้ทิ้งสังขารไปสู่พรหมโลกเมื่ออายุ ๒๓ ปี ๖ เดือน ปัจจุบันเป็นหัวหน้ารูปพรหม ๑๖ ชั้น เจ้าพิธีการแห่งโลกวิญญาณ ตำแหน่งผู้พิชิตมาร
อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ผู้บุกเบิกสำนักปู่สวรรค์
ในด้านมนุษย์ ผู้ซึ่งมีกรรมพัวพันและมีพลังจิตสูงสามารถให้ดวงพระวิญญาณของท่นบรมครูอาศัยร่างเป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๘๖ เป็นพุทธศาสนิกชนชายชาวไทย มีนามว่า “สุชาติ โกศลกิติวงศ์” ซึ่งหลังจากที่ได้ตกลงให้ความยินยอมแก่โลกวิญญาณในการทำงานเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติแล้วก็ได้เริ่มปฏิบัติงานด้วยความเสียสละอย่างยิ่งนับตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๙ เป็นต้นมา
สำนักปู่สวรรค์เมื่อแรกสร้าง
ในการโปรดสัตว์ ณ สำนักปู่สวรรค์เมื่อแรกตั้งนั้นท่านบรมครูได้แบ่งหน้าที่ในการปฏิบัติงานโปรดสัตว์ โดยองค์พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ทางกาย ด้วยการให้คำแนะนำในการรักษาโรคทางกายที่เกิดจาก กรรมวิบาก โรคที่เกิดกับมนุษย์ในด้านต่างๆ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ทางใจและชี้ทางให้เข้าถึงซึ่งทางแห่งโลกกุตรด้วยการเทศนาสั่งสอนหลักการดำเนินชีวิต ชี้ทางให้มนุษย์เข้าสู่แนวทางแห่งธรรมะเพื่อพัฒนาชีวิตยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น สำหรับท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เจ้าแห่งพิธีการของโลกวิญญาณนั้น ด้วยพระเมตตาอันสูงสุด ท่านได้ประทานความช่วยเหลือในด้านพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีการปลุกเสกอันถูกต้องตามเทวบัญญัติ อันเป็นผลให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ด้วยฤทธิ์บารมีของเหล่าผู้สำเร็จนั้นๆ
อุดมการณ์ ๑๐ ประการของสำนักปู่สวรรค์
๑.ช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจให้กับชนทุกชั้น
๒.ประหารกิเลสของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวให้เบาบางลง
๓.ทำลายความเชื่อที่งมงายหลงเข้าใจผิด
๔.ผดุงความเป็นธรรมของสังคม
๕.เทิดทูนพระมหากษัตริย์และสันติภาพเป็นสรณะ
๖.ส่งเสริมศาสนาให้ดีขึ้นทุกวิถีทาง
๗.ยินดีอุปถัมภ์นักปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานที่หวังพระนิพพาน
๘.ร่วมมือกับผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์
๙.ส่งเสริมจริยธรรมและคุณธรรมเข้าสู่จิตใจเยาวชน
๑๐.ยืนยันโลกหน้ามีจริงเพื่อไม่ให้มนุษย์ทำบาปมากขึ้น
เหตุการณ์เมื่อเริ่มตั้งสำนัก
เรื่องของการกำเนิดของสำนักปู่สวรรค์ในโลกมนุษย์นี้ มีความมหัศจรรย์น่าติดตามและใคร่ครวญอย่างยิ่ง ข้อความต่อไปนี้ตัดตอนมาจากบทความเรื่อง “ เล่าเรื่องสำนักปู่สวรรค์” จากหนังสืออนุสรณ์ ๑๐ ปีสำนักปู่สวรรค์ เป็นการเก็บความจากการที่สื่อมวลชนได้เข้าสัมภาษณ์ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ เจ้าสำนักปู่สวรรค์ผู้เป็นสื่อกลางให้กับดวงพระวิญญาณของท่านบรมครูทั้งสามที่มาโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์ ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๓ มีใจโดยสรุปความว่า
“ เดิมอาจารย์สุชาติ เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจเรื่องเครื่องรางของขลัง แต่ประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๓ อยู่บ้านเลขที่ ๒๐๐/๒๕ ถนนริมทางรถไฟ วงเวียนใหญ่ ธนบุรี วันหนึ่งมีผู้เอาพระผงหลวงปู่ทวดจากวัดช้างไห้มาให้องค์หนึ่ง จึงไปถามพระภิกษุรูปหนึ่งว่าวิธีปลุกพระทำอย่างไร พระภิกษุองค์นั้นบอกให้ท่อง นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ
วันหนึ่งว่างงานอยู่กับเพื่อน ๒-๓ คน ก็ท่องคาถาปลุกพระนั้น สักครู่หนึ่งก็รู้สึกคล้ายๆกับมีดวงไฟดวงหนึ่งมาปะทะที่หน้าผากแล้วไม่รู้สึกตัว ต่อเมื่อรู้สึกตัวขึ้น คนที่อยู่ด้วยขณะนั้นบอกว่าหลวงปู่ทวดมา ได้พูดอย่างนั้นๆ อาจารย์สุชาติไม่เชื่อจึงลองอีก วันนั้นปลุกพระอยู่กว่า ๓๐ เที่ยว คนที่อยู่ใกล้ๆเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่ทวดประทับทรงและพูดว่า “ มันชอบลองดี กูจะเอามันเป็นร่างทรง”
ต่อมามีคนไข้เป็นโรคเบาหวานบ้าง เป็นนิ่วบ้าง มาขอให้นิมนต์หลวงปู่ทวดรักษา เมื่อนิมนต์ท่านบ่อยๆท่านก็บอกว่าต้องเอาจริง คือตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้น ท่านบอกว่าในเดือนนั้นๆน้ำจะท่วมจังหวัดหนองคาย ให้รีบเอาตราสำนักไปแจกเพื่อป้องกัน แต่ขณะนั้นมีคนทำงานไม่กี่คน ไม่มีกำลังและทุนทรัพย์ที่จะจัดทำอะไรตามที่ท่านสั่งได้ทัน ครั้งนั้นจึงแจกตราสำนักไม่ทันการ น้ำก็ท่วมจังหวัดหนองคายตามที่ท่านบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้น ก็จะเกิดเหตุตามที่ท่านบอกทุกครั้ง ผู้ที่ทราบจึงเลื่อมใสศรัทธามาที่สำนักมากขึ้น
เหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙
ต่อมาท่านสั่งให้ไปหาบ้านเช่าที่ตำบลบางปะกอก ท่านบอกลักษณะของบ้านให้ เมื่อไปถึงก็พบบ้านหลังนั้นจึงตกลงเช่า สำนักปู่สวรรค์ก็ย้ายจากวงเวียนใหญ่ไปอยู่ตำบลบางปะกอก ถนนสุขสวัสดิ์ จังหวัดธนบุรี เมื่อวันวิสาขบูชา พ.ศ.๒๕๐๙ เมื่อย้ายมาที่นั่นแล้วหลวงปู่ทวดก็มาประทับทรงอย่างเป็นทางการ ท่านบอกว่าทำตามมติสามโลก เวลาทำงานมี พรหมทูต เทวทูต ยมทูต มาอยู่ด้วย คนที่มา ได้พบความมหัศจรรย์และได้รับความสำเร็จ จึงมีสานุศิษย์มากขึ้นและมีผู้ไปสังเกตการณ์
อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล ได้ฟังเทศน์หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒจารย์(โต)พรหมรังสี แล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใส คิดว่าควรจะอัดเท้ปพระธรรมเทศนาที่ท่านเทศน์ไว้ อาจารย์ลัดดาจึงซื้อเครื่องอัดเท้ปถวาย
เมื่อมีผู้นมัสการถามเกี่ยวกับเรื่องการผ่านร่าง หลวงปู่ทวดและหลวงพ่อสมเด็จฯเคยเทศน์ไว้ว่า ผู้ที่มาเข้าทรงตามสำนักต่างๆมีหลายระดับ สำนักปู่สวรรค์ ไม่มีหน้าที่วิจารย์ผู้อื่น ผู้ใดต้องการทราบว่าสำนักปู่สวรรค์เป็นอย่างไรก็ควรมาศึกษาด้วยตนเอง หลวงพ่อสมเด็จฯเคยเทศน์ไว้ว่า เทพพรหมย่อมมีของทิพย์ ฉะนั้นเมื่อมาผ่านร่างจึงไม่เสพสิ่งใดๆ
หลวงปู่ทวดท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านไม่แบ่งเชื้อชาติ ผิวพรรณ ภาษา ท่านเคยกล่าวว่าการที่ท่านมาผ่านร่างอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ก็เพราะในอดีตชาติเคยมีกรรมพัวพันกันมา ปัจจุบันโลกนี้ถึงกลียุค หากท่านจะมาช่วยโดยการเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเติบโตไม่ทันการ ท่านจึงใช้วิธีมาผ่านร่าง
อาจารย์สุชาติไม่มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาโดยละเอียด แต่เมื่อหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสีผ่านร่างเทศน์ ผู้ได้ฟังรู้สึกว่าเป็นธรรมชั้นสูง สานุศิษย์ได้อัดเท้ปไว้ อาจารย์สุชาติจึงมีโอกาสได้ฟังเรื่องที่สมเด็จโตท่านบอกหรือเทศน์ไว้ เช่นท่านกล่าวว่าบุคคลที่ด่วนลงความเห็นโดยการคาดคะเน มิใช่ลักษณะของสาวกพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ผู้ที่มาบำบัดโรคที่สำนักปู่สวรรค์ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆฉะนั้นเมื่อหายป่วย ก็อยากแสดงความกตัญญู รวมทั้งผู้อื่นที่ได้มาสังเกตการณ์ และศึกษา แล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงได้สละทรัพย์บำรุงสำนัก บางคนสละแรงงาน เวลา และใช้สติปัญญา ช่วยการงานของสำนัก กิจการจึงขยายขึ้น
เหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒
ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๒ สำนักปู่สวรรค์ย้ายจากตำบลบางปะกอก มาอยู่ที่ ๒๗๐ ซอยจตุรงค์สงคราม ถนนเพชรเกษม กิโลเมตรที่ ๑๕ ครึ่ง อาจารย์ลัดดา ประเสริฐกุล บริจาคที่ดินเป็นที่ตั้งสำนัก สานุศิษย์และผู้ศรัทธาช่วยกันบริจาคค่าก่อสร้าง”
งานของสำนักปู่สวรรค์
จากอุดมการณ์ ๑๐ ประการที่ท่านบรมครูได้ประทานเป็นแนวทางในการดำเนินการโปรดสัตว์ร่วมกับสานุศิษย์เพื่อจรรโลงให้โลกมนุษย์เกิดความสันติสุขร่มเย็น และระงับพิบัติภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในแหลมสุวรรณภูมิและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวออกไปเป็นปัญหาของโลกนั้น เพื่อการระงับและบรรเทาความร้อนเหล่านั้นจึงทำให้เกิดงานตามพระบัญชาหลายงานดังตัวอย่างต่อไปนี้
๑.เปิดให้มีการรักษาโรคด้วยพลังจิตและโรคที่เกี่ยวกับวิญญาณแทรก เพื่อช่วยมนุษย์ที่มีกรรมพัวพันหรือมีกรรมน้อยได้มีโอกาสหายจากโรคภัยที่เบียดเบียนสร้างความทุกข์ทั้งกายและใจ ตามอุดมการณ์ข้อที่ ๑ ช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจให้กับชนทุกชั้น โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ตลอดจนเพื่อให้มนุษย์ในยุคนั้นได้มาศึกษาถึงเรื่องราวของวิญญาณ การตายแล้วไม่สูญ เพื่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อการทำบาป ตามอุดมการณ์ข้อที่ ๑๐ ยืนยันโลกหน้ามีจริงเพื่อไม่ให้มนุษย์ทำบาปมากขึ้น(สำนักปู่สวรรค์ งดการให้บริการรักษาโรคตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ )
๒.ยกระดับจิตใจมนุษย์ด้วยการเผยแผ่ธรรมะให้เห็นความจริงที่เป็นสัจจธรรม ชี้นำให้มนุษย์ใช้สติและธรรมะปกครองตนเองและสังคมเพื่อให้เกิดสันติสุขในโลก ตามอุดมการณ์ข้อที่ ๒ ประหารกิเลสของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวให้เบาบางลง
๓.รณรงค์ให้เกิดการรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างกว้างขวางเพื่อให้เกิดความสะอาดของจิตวิญญาณและลดละการเบียดเบียนชีวิตสัตว์มาเป็นชีวิตเรา ให้เห็นคุณค่าของชีวิตทุกชีวิตว่าทุกคนต่างก็เป็นสัตว์โลกที่ต่างเกิดมาใช้กรรมเหมือนๆกัน
๔.จัดพิธีต่างๆเพื่อดุลกรรมให้ประเทศไทยและโลกมนุษย์ได้ผ่อนคลายจากความร้อนจากไฟสงคราม ตลอดจนภัยพิบัติต่างๆ
๕.จัดคณะออกไปแนวหน้าและสมรภูมิชายแดนเพื่อปลุกขวัญทหาร ตำรวจ และประชาชนที่ต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ให้มีกำลังใจรุกรบเข้มแข็ง ด้วยการแจกผ้ายันต์พิทักษ์เอกราช การแสดงดนตรีปลุกใจและปาฐกถาให้เห็นคุณค่าความสำคัญของการ รักษา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
๖.รับเชิญไปบรรยายตามสถานที่หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย โลกนี้โลกหน้า หรือปาฐกถาให้คนไทยสำนึกในความเป็นไทย
๗.จัดงานบำเพ็ญกุศลในวันสำคัญต่างๆของพุทธศาสนา
ฯลฯ
การดำเนินงานในปัจจุบัน
ปัจจุบัน ( พ.ศ.๒๕๕๔) ชมรมสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ ยุคอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ บุกเบิกในพระอุปถัมภ์ของเสด็จพ่อท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ดำเนินรอยตามอุดมการณ์ที่ท่านบรมครูได้ทรงประทานแนวทางไว้เพื่อให้เกิดสันติสุขแก่จิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติ และสันติภาพและความร่มเย็นของมวลมนุษย์ด้วยการ
๑.ส่งเสริมการสวดมนต์ภาวนาเพื่อรวมจิตตานุภาพของประชาชนชาวไทยอธิษฐานให้เกิดความสถิตสถาพรของสถาบันชาติ ศาสนาและองค์พระมหากษัตริย์ ตลอดจนขอประทานบารมีแห่งพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลจักรวาลช่วยแผ่มหิทธานุภาพคุ้มครองมนุษย์ในโลกให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงซึ่งการดำเนินงานจะช่วยได้แค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของมนุษย์เอง
๒.ส่งเสริมการรับประทานอาหารมังสวิรัติให้แผ่ขยายออกไปในวงกว้าง
๓.เผยแผ่ธรรมะปรัชญาของท่านบรมครูเพื่อเป็นแนวทางการดำรงอยู่อย่างสันติสุขในสังคมทุกสังคม
๔.ส่งเสริมการเจริญรอยตามแนวทางพระโพธิสัตว์ด้วยการเป็นผู้ให้ เช่นการ บริจาคโลหิต การปล่อยชีวิตสัตว์ เป็นต้น
๕.จัดกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา