ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่น้ำตกทรายขาว

  • Print

 หลวงปทวด01

 

ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่น้ำตกทรายขาว

(เดือน มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๐)

น้ำตกทรายขาว อ.โคกโพธิ์ : เป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ร่มรื่นงดงามด้วยไม้พฤกษ์ที่เขียวขจีตลอดปี ทรายขาวเป็นฉากธรรมชาติ. .ซึ่งงดงามหาที่ติมิได้ ดินแดนแห่งความสวยงามและแสนสงบแห่งนี้ เมื่อ ๔๐๐ ปีก่อนเป็นที่บำเพ็ญฌานของเกจิอาจารย์ชื่อดังองค์หนึ่งซึ่งเราท่านทราบในนาม หลวงพ่อทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)ตามประวัติที่ทราบมาหลวงปู่ทวดเมื่อครั้งมีสังขาร ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยกรุงอโยธยาตอนตน สืบเนื่องจากความรักสันโดษและความปรารถนาอันแรงกล้าที่มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความ .หลุดพ้นเป็นทุนเดิม จึงทำให้ท่านหนีจากการเป็นสมเด็จพระสังฆราชมาปฏิบัติจิตในดินแดนแห่งความวิเวก บำเพ็ญ สำเร็จเจโตปริยญาณ ณ แท่นหินกว้าง กลางลำธาร ซึ่งไม่ไกลจากน้ำตกทรายชาว สถานที่แห่งนี้จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ และมีอาถรรพณ์อย่างไม่เป็นปัญหา

เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ · หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) มีพระบัญชาให้ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ เดินทางไปอัญเชิญ ดินและสิ่งศักติ์สิทธิ์ที่ท่าน ใช้ในสมัยมีสั่งชารที่น้ำตกทรายชาว อ.ทรายชาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โดยขึ้นรถเร็วที่สถานีบางกอกน้อย เวลาประมาณ ๗.๐๐ น.

เหมือนมีสิ่งดลใจให้มองไปยังที่นั่งรมซ้ายข้างหน้า

พบพระภิกษรูปหนึ่งหน้าตาอิ่มเอิบ อายุประมาณ ๖๐ กว่าปีนั่งอยู่ยืนพิศดูอยู่ชั่วครู่ พยายามทบทวนความจำว่าเคยเห็นท่านที่ไหนครั้งหนึ่งที่สุดนึกขึ้นได้ว่าพระภิกษุรูปลักษณะเช่นนี้ปรากฏให้เห็นในนิมิตคืนก่อนที่จะเดินทางจึงทราบว่าท่านชื่อพระอาจารย์ผล เกจิอาจารย์ชื่อดังของปักษ์ใต้ยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นพระอาจารย์สอน วิปัสสนากรรมฐานของอาจารย์ทิม (พระครูวิสัยโสภณ) ซึ่งเบีนเจ้าอาวาสวัตช้างให้ในสมัยนั้น

หลวงปทวด-001 วดชางไห-01

 

 

อาจารย์สุชาติก็ตรงเข้าไปนมัสการหลวงพ่อรูปนี้ทันที แล้วถามท่านว่า "ที่นั่งตรงข้ามมีคนนั่งอยู่ก่อนหรือไม่ครับ ?" หลวงพ่อผลท่านตอบว่า"ไม่มี" เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนั่งแน่อาจารย์สุชาติจึงขออนุญาตินั่งในที่นั้น อาจารย์ผลอนุญาตนับเป็นเรื่องอัศจรรย์ทีเดียว ทั้งๆที่มีที่ว่างอยู่ แต่ผู้โดยสารหลายคนที่มาถึงก่อนกลับมอง ไม่เห็นยอมโดยสารรถด้วยการตีตั๋วยืนตลอดทาง หลวงพ่อผลได้เอ่ยถามว่า."โยมจะไปไหน" อาจารย์สุชาติตอบว่า "จะไปวัดข้างให้ วัตช้างให้นี้ อาจารย์ทิมเป็นเจ้าอาวาสใช่ไหมครับ" หลวงพ่อผลพยักหน้าและกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า "อาดมานี้เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐานของวัดช้างไห้อาจารย์ทิมเป็นลูกศิษย์ ของอาตมาได้สนทนากับหลวงพ่อผล ถึงประวัติและอภินิหารของหลวงปู่ทวดอย่างสนุกสนาน เวลาบนรถเร็วชบวนนี้แออัดด้วยฝูงชน ทุกตู้มีคนนั่งและยืนเต็มไปหมด อาจารย์สุชาติเดินหาที่นั่งหลายตู้ เบียดเสียดกับผู้โดยสารอื่นจนเมื่อยล้า ก็ยังหาที่นั่งว่างไม่ได้ เหลียวมองดูรอบ ๆ ผู้โดยสารอีกจำนวนไม่น้อยยืนจับกลุ่มสนทนากัน เนื่องจากหาที่นั่งไม่ได้ ยืน พักอยู่สักครู่ตั้งใจจะเดินดูอีกสักรอบหนึ่ง ฉับพลัน

ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว รถไฟถึงสถานีโคกโพธิ์จึงต้องแยกทางกับหลวงพ่อผล .เพราะท่านจะเดินทางไปจังหวัดยะลาส่วนทางอาจารย์สุชาติต่อรถเมล์ประจำาทางเข้าตัวจังหวัดปัตตานี มุ่งตรงไปวัดข้างให้ตามคำบัญชาของหลวงปู่ทวด

ครั้นถึง วัตช้างให้ ตั้งใจจะไปพบกับอาจารย์ทิม เพราะท่านเคยเดินทางไปเยี่ยมสํานักปู่สวรรค์ กรุงเทพฯ ถึง ๒ ครั้ง ปรากฏว่าอาจารย์ทิม ท่านไม่อยู่ติตกิจนิมนต์ของญาติโยม จึงพบแต่พระภิกษุมีพรรษารูปหนึ่งซึ่งรักษาการแทน ได้สนทนาอยู่พักใหญ่ ก็เรียนให้ท่านทราบว่า ที่เดินทางมาวัดข้างให้ครั้งนี้ เนื่องจากหลวงปู่ทวดท่านมีพระบัญชา ให้มาขุดดินที่มีเกษา(ผม)ของท่าน หลวงพ่อวัยอาวุโสรูปนั้นให้ความสะดวกเป็นอย่างดี โดยให้ พระภิกษุรูปหนึ่ง พร้อมด้วยเด็กวัดอีกคนหนึ่ง เอาจอบเสียมไปขุด สถานที่ลงมือขุดดินนั้นอยู่ข้าง ๆ เจดีย์เก่าองค์หนึ่งตรงข้ามศาลาในปัจจุบัน สมัยก่อนนั้นเป็นโบสถ์ที่หลวงปู่ทวตท่านทำวัตร

ลึกลงไป หลังจากที่ทำการขุดพักใหญ่ สัก ๖๐ ซ.ม. หรือ ๒ ฟุตโดยประมาณ พบดินที่ผสมด้วยเส้นผม" เข้าใจว่าคงจะเป็นเกษาของหลวงปู่ทวดที่ท่านปลงฝังดินไว้ ปรากฎการณ์นี้ ทำเอาพระภิกษุที่ไปช่วยขุด ซึ่งจำพรรษาอยู่ในวัดข้างให้แท้ๆ แปลกใจ ที่ชายหนุ่มจากกรุงเทพ ฯ สามารถชี้สถานที่ฝังเกษาของหลวงปู่ทวด และได้ขุดพบจริงๆ ท่านไต้แต่มองหน้าอาจารย์สุชาติแล้วถามด้วยความสนใจว่า ออกจากวัตข้างให้ แล้วจะไปไหนอีก

"น้ำตกทรายขาว" เป็นคำตอบของผู้ถูกถาม

"ที่แห่งนั้นมีจะไรดีถึงอยากไป" เป็นคำถามถามตามมาอาจารย์สุชาติ ก็โพล่งออกมาอย่าง งง ๆ โดยไม่ตั้งใจว่า "ก็ที่นั้นเป็นที่ซึ่งหลวงปู่ทวดท่านจำพรรษาอยู่บ่อย ๆ มิใช่หรือ" พระภิกษุรูปนั้นกลับซักว่า " "คุณโยมรู้ได้อย่างไร" อาจารย์สุชาติตัดบทถามหนทางจะไปน้ำตกทรายชาว พระพระภิกษุรูปนั้นก็แนะนำทางบอกให้จับรถโดยสารนาประดู่ เมื่อทราบหนทางโดยตลอดแล้ว ได้นมัสการลาเดินทางออกจากวัดยังไม่ทันหายเหนื่อยรถโดยสารที่ไปนาประดู่ก็ผ่านมา (อาจารย์สุชาติ ตั้งข้อสังเกตแห่งความอัศจรรย์ไว้ว่า "หลวงปู่ทวดท่านใช้ไปไหน ทุกสิ่งทุกอย่างจะสะดวกไปหมด มีทั้งคนคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ อีกทั้งรถพาหนะมักมาได้จังหวะพอดี ไม่ต้องเสียเวลากับการรอคอย ราวกับท่านได้จัดส่งมาให้)

อาจารย์สุชาติขึ้นรถเมล์คันนั้นไปลงนาประดู่ เมื่อก้าวลงจากรถ แล้วก็เดินไปอย่างคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ระหว่างทางมีชาวพื้นเมือง ซึ่งเป็นชาวอิสลามทักถามตลอดระยะทางว่า "ไปใหน ?"เป็นสำเนียงภาคใต้อาจารย์สุชาติก็รู้สึกงงๆ ตอบไปด้วยภาษาและสำเนียงภาคใต้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "จะไปน้ำตกทรายขาว" (เข้าใจว่าหลวงปู่ทวดแฝงร่าง) ชาวบ้านผู้หวังดีได้ฟังเช่นนั้นก็บอกว่า "อย่าไปเลยมันไกล แล้วก็มาคนเดียว ไม่ปลอดภัย"

อาจารย์สุชาติไม่ได้สนใจคำเตือนของผู้หวังไต้เตินผ่านชาวบ้านเหล่านั้นไป โดยไม่มีอาการสะทกสะท้านต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้น ผ่านไปไม่นานมีชาวบ้านร้องทักด้วยความเป็นห่วง อาจารย์สุชาติเช่นนั้นอีก ๒-๓ ระยะ จนกระทั่งผู้ห้ามรายที่ ๔ ซึ่งเป็นรายสุดท้ายได้บอกทิ้งท้ายว่า เมื่อ ๒--๓ วันก่อน เขาฆ่ากันตายที่น้ำตกทรายขาว และตรงนั้นแต่ก่อนมี ตชด. ไปตั้งแคมป์รักษาการณ์อยู่ เนื่องจากมีโจรจีนจากมลายูบุกเข้ามาอาจารย์สุชาติเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจกับคำพูดเหล่านั้น และเดินต่อไปเรื่อยๆ อีกประมาณ ๓ กิโลเมตร โดยไม่ค่อยรู้สึกตัวเต็มที่นัก

เมื่อเริ่มรู้สึกเหนื่อย เป็นที่อัศจรรย์มีรถยนต์จิ๊ปแลนด์โรเวอร์คันหนึ่งวิ่งผ่านไป ซึ่งในเวลาต่อมาจึงรู้ว่าเป็นของป่าไม้เขต รถแล่นผ่านเลยอาจารย์สชาติไปประมาณสองร้อยเมตรได้ ไม่ทราบด้วยเหตุผลอันใดป่าไม้เขตขับรถวนกลับมารับอาจารย์สุชาติ เรื่องนี้คงเป็นเพราะหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) ดลจิตดลใจป่าไม้เขตท่านนั้นเป็นแน่

เมื่ออาจารย์สุชาติเดินเข้าใปใกล้รถ เสียงถามว่า "ไปไหน ?" อาจารย์สุชาติตอบว่า."จะไปน้ำตกทรายขาวป่าไม้เขตถามว่า "ไปทำไม ?" อาจารย์สุชาติตอบไปว่า "จะไปเที่ยว" ป่าไม้เขตถามว่า "คุณรู้จักน้ำตกทรายขาวดีหรืออาจารย์สุชาติก็ตอบว่า "รู้จักก็แล้วกัน" ป่าไม้เขดก็ไม่พูดอะไรมาก ร้องบอกให้ขึ้นรถ ระหว่างอยู่บนรถ ป่าไม้เขตซักโน่นซักนี่ อาจารย์สุชาติก็ตอบเลี่ยงเรื่อยไป ด้วยไม่ต้องการให้รู้ว่าจะมาเอาติน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่น้ำตกทรายขาว ในที่สุดเมื่อถึงวัดทรายขาว" อาจารย์สุชาติ รู้สึกงง ๆ มีอาการดุจหนึ่งคนครึ่งหลับครึ่งตื่น พูดโพล่งออกมาดังๆ ว่า "อะไรสมัยกูมีชีวิตอยู่ ยังไม่รกถึงอย่างนี้ แล้วนี่มันได้รับทุนจากวัดช้างให้นี่" คำพูดประโยดนี้ทำเอาป่าไม้เขตแปลกใจถึงกับถามอาจารย์สุชาติว่า ."เมื่อกี้พูดอะไรออกมา แล้วทำไมจึงรู้ว่าวัตทรายขาวเป็นเครือของวัตช้างให้" อาจารย์สุขาติเลยไถลพูดเป็นอย่างอื่นว่า "หลวงปู่ทวดท่านเคยจำพรรษาที่วัดนี้ใช่ไหม ?"

ป่าไม้เขตเขาก็รับว่า "ใช่ ใช่แล้วคุณรู้ได้อย่างไร" อาจารย์สุชาติตอบว่า "ผมรู้ก็แล้วกัน"

เมื่อไปถึงทางแยกที่จะเลี้ยวเข้าน้ำตกทรายขาว ป่าไม้เขตก็บอกให้อาจารย์สุขาติลงแล้วชี้ทางให้เดินต่อไป. หลังจากนั้นอาจารย์สุชาติเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า "ไม่รู้สึกตัวเอาเอาเลยจริงๆ ไม่รู้ระหว่างทางนั้นทำอะไรไปบ้าง มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งได้ยืนอยู่ช้างบน ตรงแท่นหินที่หลวงปู่บอกก่อนเดินทางว่า แท่นหินกลางลำธารคือสถานที่ซึ่งท่านเคยนั่งบำเพ็ญจิต และในที่นั้นมีไม้เท้าที่ท่านใช้สมัยมีสังขารฝังอยู่ ซึ่งเป็นจริงดังที่ท่านพูดไว้ ในในมือของผมมีไม้เท้าครึ่งท่อนถืออยู่ ทั้งๆที่ผมไม่รู้เรื่อง

นำตกทรายขาว

 

นำตกทรายขาว  ภาพจาก  https://thai.tourismthailand.org 

 

ครั้นแล้วหลวงปู่ทวด (สมเด็จพะโค๊ะ) ได้แสดงอภินิหารอัศจรรย์ ให้อาจารย์สุชาติประจักษ์ แก่ตายตา โดยนึกอย่างไรไม่ทราบ ได้ชูไม้เท้าของท่านขึ้นเหนือศีรษะ แล้วประกาศเสียงดังว่า"ถ้าไม้เท้านี้ศักดิ์สิทธิ์จริง ฝนต้องหยุดเดียวนี้" ไม่ทันจะขาตคำ สายฝนที่กำลังตกปรอยอยู่นั้นก็หยุดทันทีจริงๆเสียด้วย" นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม้เท้าของท่านศักดิ์สิทธิ์จริง หลังจากนั้นอาจารย์สุชาติจัดแจงเอาดินและทรายใต้บัลลังก์หินใส่ถุงย่ามที่เตรียมไป แล้วเดินทางกลับ ความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีก ซึ่งถ้ามนุษย์เราๆ นัดพบกันคงไม่พอดีเหมือนเวลาที่ท่านจัดให้พอเดินถึงทางแยกก็เจอรถป่าไม้เขตแล่นมาถึงพอดี ป่าไม้เขตได้หยุดรถรับและถามว่า "จะกลับแล้วหรือ ?"อาจารย์สุชาติก็ดอบว่า "กลับ" ป่าไม้เขตก็เรียกขึ้นรถ ระหว่างอยู่บนรถได้สนทนาถึงเรื่องต่าง ๆ แต่สายตาป่าไม้เขตจับดูที่ไม้เท้าที่อาจารย์สุชาติ ถืออยู่แล้วชมว่า "สวยเหลือเกิน คุณได้มาอย่างไร ให้ผม่ได้ไหม ?"

อาจารย์สุขาติดอบว่า"ไม่ได้" แล้วพยายามชวนคุยเรื่องอื่นกลบเกลื่อนไป จนกระทั่งถึงตำบลนาประดู่บ่าไม้เขตถามว่า . "ไม่ไหนคนเดียวแถวนี้ไม่กลัวอันตรายบ้างหรือ. " อาจารย์สุชาติตอบว่า : "ไม่กลัว ถ้าทำดีพระคงช่วย"พ่อรถแล่นมาถึงปากทาง ป่าไม้เขตดูเวลา เห็นว่าเกือบบ่ายสองโมง จึงได้ชวนอาจารย์สุชาติหาอาหารรับประทาน อาจารย์สุขาติก็ตอบตกลง ทั้งนี้เพราะยังไม่ได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำเลยตั้งแต่เช้าระหว่างรับประทานอาหารร่วมกันนั้น ป่าไม้เขตให้การ์ดนามบัตร ปรากฏว่าชื่อคุณวิโรจน์ หงสกุล มีศักดิ์เป็นอาของคุณอาภัสรา หงสกุล"

หลังจากรับประทานอาหารมือเที่ยงแล้ว ป่าไม้เขตถามอาจารย์สุชาติว่าจะไปไหนอีก อาจารย์สุชาติตอบว่า ยังไม่รู้จะไปไหน ป่าไม้เขตจึงขวนเข้าเมืองปัตตานีด้วยกัน ครั้นถึงตัวเมืองได้เดินชมวัดวาอารามต่างๆจนพลบค่ำ ระหว่างที่สนทนาอยู่นั้น อาจารย์สุชาติพูดขึ้นลอยๆว่า "จะไปยะลา" ป่าไม้เขตได้ฟังก็ทักท้วงไม่ให้ไป เพราะเป็นเวลาค่ำคืนทั้งแนะนำให้ไปพักที่โรงแรม อาจารย์สุชาติปฏิเสธไม่ขอพักที่ โรงแรม "จะต้องไปยะลาให้ได้ในคืนนี้" ป่าไม้เขตเห็นทีว่าจะเปลี่ยนใจผู้ร่วมเดินทางไม่ใด้ เลยแนะนำชี้ทางให้ไปที่ท่ารถ ที่ท่ารถ เห็นรถเมล์โดยสารปัตตานี-ยะลา คันหนึ่งจอดอยู่เด็กรถตะโกนบอกผู้โดยสารให้รีบขึ้นด้วยเสียงกังวาลได้ยินไปทั่วรถว่า "รถปัตตานี-ยะลา คันสุดท้ายจะออกแล้ว อาจารย์สุชาติครั้นไปถึงก็รีบกระวีกระวาดขึ้นไปรถปัตตานี ยะลา พาผู้โดยสารแล่นถึงจังหวัตยะลา

ประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ต่อจากนั้นอาจารย์สุชาติได้ว่าจ้างรถสามล้อไปป่าช้าพุทธภูมิ เมื่อเติมทางไปถึงก็พบหลวงพ่อผลบักกลดรออยู่ก่อนแล้ว พ่อผลชิงพูตก่อนว่า "รู้ว่าจะต้องมา ได้เตรียมมุ้งหมอนไว้ให้แล้ว" นับเป็นผลดีของอาจารย์สุชาติ ซึ่งไม่ต้องนอนให้ยุงกัดและยังมีมิตรร่วม สนทนาแก้เหงาอีกด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกล่าวได้ว่าอัศจรรย์ เพราะการมาป่าข้าพุทธภูมิไม่ให้นัดแนะกับหลวงพ่อผลมาก่อน และก็ไม่ทราบอีก"เหมือนกันว่า หลวงพ่อผลรู้ได้อย่างไรว่าจะไปป่าข้าพุทธภูมิหลวงพ่อผล ด้วยความเป็นห่วงได้เอ่ยถาม "กินข้าวมาแล้วหรือยัง " อาจารย์สุขาติตอบว่า ยังไม่ได้รับประทาน หลวงพ่อผลบอกให้ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไป และเตือนหากหลงทางก็จ้างรถสามล้อกลับ

ขณะที่อาจารย์สุชาติกลับจากตลาดสู่ที่พำนักของหลวงพ่อผล พอเดินผ่านหน้าป่าช้าพุทธภูมิ สายตาที่ทอดไกลออกไปก็พบ สิ่งหนึ่งปรากฎ เป็นภาพขาว ๆ ลักษณะเหมือน คนนอนอยู่ อาจารย์สุชาติหยุดพิจารณาครู่หนึ่งก็าวท้าวเดินเข้าไปหา ครั้นเดินเข้าไปใกล้ ภาพที่ปรากฎได้อันตรธานหายไป อาจารย์สุขาติเล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือมีความหวาดกลัวแต่ประการใด เพราะอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น (สภาพนี้คงเป็นด้วยไม่ค่อยเป็นตัวของตัวสมบูรณ์นัก เป็นที่เข้าใจว่าหลวงปู่ทวตคงจะประทับแฝง

เมื่อกลับถึงที่พำนักของหลวงพ่อผล เห็นมุ้งหลังหนึ่งกางอยู่ที่ศาลามุงจาก เรียบร้อยแล้ว อาจารย์สุชาติได้ ใช้ สายสิญจน์ที่หลวงปู่ทวด เสกให้วนรอบศาลา พร้อมทั้งบริกรรมพระคาถาของท่านสามรอบ แล้วจึงใด้เข้าไปนอน ตลอดทั้งคืนมีเสียงสุนัขหอนโหยหวนอยู่ไม่ขาดสาย และมีเสียงเหมือนคนเดินรอบ ๆ ศาลา (ศาลาที่กล่าวถึงนี้ทำด้วยไม้โลงศพในป่าช้าพุทธภูมิ) ตื่นเช้ามาประมาณ ๗.๐๐ น. ความอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น อาจารย์สุชาติเห็นพระเครื่องหลวงปู่ทวดทำด้วยเนื้อว่าน ๓ องค์วางอยู่บนหัวนอน ก็เล่าเรื่องให้หลวงพอผลฟัง หลวงพ่อผลท่านไม่สนใจเรื่องพระเครื่อง ท่านกลับไปสนใจไม้เท้าถึงกับเอ่ยปากขอ อาจารย์สุชาติ ไม่ยอมให้แล้วยังต่อว่าหลวงพ่อผลว่า "นักปฏิบัติจิต ยังติดวัตถุอีกหรือ" (เหตุการณ์ช่วงนี้หลวงพ่อผลท่ามเล่าให้พัง) หลวงพ่อผลหัวเราะแล้วเบนเรื่องถามเป็นอย่างอื่นโดยกล่าวขึ้นว่า "ออกจากจากที่นี่แล้วจะเดินทางไปไหนอีก?" อาจารย์สุชาติตอบว่าจะไปถ้ำคูหาภิมุข หลวงพ่อผลสนใจ จึงขอติตตามไปดูเหตุการณ์ด้วย

ณ ถ้ำคูหาภิมุข อาจารย์สุชาติเริ่มรู้สึก งงๆ ดุจหนึ่งคนครึ่งหลับครึ่งตื่น พูดด้วยเสียงอันดังว่า "เมื่ยสมัยกูอยู่ ตรงนี้เป็นทะเลนี่หว่า ทำไมเป็นดินแล้วปรับปรุงสวยงามนัก" หลวงพ่อผลเข้ามาสะกิดแล้วพูดว่า "เบา ๆ หน่อยท่านสมเด็จๆ เดี๋ยวใครเขาจะหาว่าบ้า" ต่อจากนั้นอาจารย์สุชาติตอบอะไรอีกหลายคำ ไม่ทราบว่าพูดอะไรไปบ้าง จำได้แต่หลวงพ่อผลตอบว่า "ขอรับกระผม" หลังจากนั้นหลวงพ่อผลแยกไปถ้ำพระนอน ส่วนอาจารย์

สุชาติเดินเข้าไปในถ้ำมืด เพื่อนำดินศักดิ์สิทธิ์สร้างพระสมเด็จดินเก้าประเทศ ตามคำบัญชาของหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) การไปอัญเชิญดินศักดิ์สิทธิ์ทางภาคใต้ก็สิ้นสุดลงเพียงนี้

รวมดินศักดิ์สิทธิ์จากภาคใต้ของประเทศไทย (พ.ศ.๒๕๑๐)

๑.น้ำตกทรายขาว จังหวัดปัตตานี

๒.วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี

๓.ป่าช้าวัดพุทธภูมิ จังหวัดยะลา

๔.ถ้ำคูหาภิมุข จังหวัดยะลา