ประสบการณ์ การเดินทางสู่สถานที่ทิ้งสังขารของหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)

  • Print

ประสบการณ์ การเดินทางสู่สถานที่ทิ้งสังขารของหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)

จากหนังสือ ประวัติสังเขปพระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)

หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ดวงพระวิญญาณสมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์(หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด) ได้มีพระบัญชาให้ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ กับผู้เขียนเดินทางไปประเทศมาเลเซีย เพื่อเชิญดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ ดินจากเขาอีโปห์ ซึ่งเป็นที่หลวงปู่ท่านทิ้งสังขาร 

เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเดินทางติดตามอาจารย์สุชาติ ไปเชิญดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีกำหนดเวลาในการเดินทางไปและกลับเพียง ๕ วัน เท่านั้นเรารู้สึกหนักใจมากเพราะไม่ทราบจะเชิญดินจากส่วนไหนของภูเขาอีโปห์ เราทั้งสองยังไม่เคยไปภูเขาลูกนี้ ทั้งๆที่ข้าพเจ้าเคยเดินทางไปประเทศมาเลเซียหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยไปภูเขาอีโปห์ ทราบแต่ว่าภูเขาอีโปห์อยู่ในเมืองอีโปห์ประเทศมาเลเซียอย่างไรก็ตาม เมื่อหลวงปู่มีพระบัญชาให้ข้าพเจ้าติดตามอาจารย์สุชาติไป ข้าพเจ้าก็ต้องไป

ราวต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๑  เราเดินทางโดยรถไฟด่วนสายใต้ จุดหมายแรกที่ไปคือ หาดใหญ่ ในระหว่างเดินทาง ผู้เขียนได้สนทนากับอาจารย์สุชาติ ตลอดทางทำให้ได้รู้ถึงเรื่องในอดีตซึ่งคนสมัยปัจจุบันไม่สามารถจะรู้ได้ จากคำบอกเล่าของอาจารย์สุชาติ ซึ่งมาภายหลังผู้เขียนยังมีความแคลงใจอยู่บ้างที่ว่าทำไมท่านจึงรู้ได้สารพัดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในศาสตร์ใดๆก็ตาม

หลังจากเดินทางกลับจากมาเลเซียได้ถามถึงเรื่องต่างๆ ที่เคยสนทนากันระหว่างเดินทาง ท่านก็บอกว่าท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซ้ำยังขอร้องให้ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ระหว่างทางให้ฟังด้วย จึงทำให้ผู้เขียนแน่ใจว่าเรื่องต่างๆ ที่อาจารย์สุชาติเล่าให้ฟังนั้นคงมิใช่ตัวของท่านเล่า เพราะคำพูดแต่ละประโยคบ่งบอกเป็นผู้มีภูมิ ความรอบรู้ทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ พุทธศาสตร์ และศาสตร์อื่นก็ตาม ท่านพูดได้ฉะฉาน ถูกต้อง บางครั้งท่านเล่าประวัติศาสตร์ในอดีตให้ฟัง ราวกับท่านเคยเกิดในสมัยนั้นๆ

บ่ายของวันใหม่ เราก็ได้ถึงหาดใหญ่ จึงได้เข้าไปในตัวเมืองหาที่พัก เพื่อรอการติดต่อจากสานุศิษย์ที่เป็นนายด่านอยู่ทางสะเดา ได้ไปหาในตอนเย็น บอกวัตถุประสงค์ในการเดินทางสู่ประเทศมาเลเซีย สานุศิษย์ผู้ไม่ประสงค์ออกนามผู้นี้ได้ช่วยจัดการทำใบผ่านแดน และค่าใช้จ่ายต่างๆเขาก็ได้ออกให้เป็นบางส่วน

ในวันรุ่งขึ้น เราได้จับแท็กซี่เพื่อไปปีนัง ค่าโดยสารคนละ ๑๐ เหรียญ เราเดินทางถึงปีนังในตอนบ่ายวันเดียวกัน และได้ตระเวนตามร้านค้าต่างๆ เพื่อดูว่า มีอะไรบ้างที่ราคาถูกโดยเฉพาะต้องการหาซื้อกระเป๋าเดินทาง เพราะการเดินทางครั้งนี้เราไปอย่างมือเปล่า มิได้มีอะไรติดตัวไป นอกจากถุงและอุปกรณ์ในการตักดินเท่านั้น เราได้ตระเวนในย่านขายสินค้าจีนแดง ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในปีนัง สินค้าต่างๆราคาถูกมาก ไม่ทราบว่าเขาขายกันได้อย่างไร เพราะสินค้าแต่ละอย่าง ถ้าผลิตขึ้นในประเทศของเรา ก็คงขายในราคานั้นไม่ได้

วันนั้นคิดว่าคืนนั้นจะไปค้างที่วัด แต่กลัวจะเป็นภาระแก่พระสงฆ์องค์เจ้า เมื่อดวงตะวันจะลับขอบฟ้าจึงได้ตกลงใจหาที่พักซึ่งเป็นโรงแรมของคนไทย ที่สามารถพูดภาษาไทยได้ดี  เราพักอยู่ที่นี่หนึ่งคืน เช้ารุ่งขึ้นเราเพียงดื่มกาแฟคนละถ้วย และตลอดทั้งวันนี้ อาหารและน้ำดื่มเราไม่ได้แตะต้องอีก เป็นเรื่องที่แปลกอยู่มิใช่น้อย เราต่างไม่รูสึกหิวหรือกระหายน้ำเลย

ปีนังฮิล 

จุดแรกของกำหนดการเอาดินในวันนี้คือ ปีนังฮิล ได้นั่งรถแท็กซี่จากโรงแรมไปขึ้นรถรางไฟฟ้าเพื่อไปยังยอดเขาสูง อาจารย์สุชาติบอกผู้เขียนก่อนขึ้นเขาว่า บนยอดเขาแห่งนี้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์แล้ว โดยเหตุผลว่ามีหนุ่มสาวได้ขึ้นไปปิกนิกพักแรมกันเสมอๆ เป็นอันว่าเราไม่เอาดิน ณ สถานที่นี้ และไหนๆก็ได้เดินทางมาถึงแล้ว เราจึงถือโอกาสตระเวนชมธรรมชาติรอบๆ ทอดสายตาสู่เบื้องล่าง เห็นหมู่ไม้ขึ้นเขียวขจีสะพรั่งดอกเหลืองแดงม่วง เป็นทัศนียภาพที่น่าชมมาก ระหว่างอยู่บนยอดเขานี้ ผู้เขียนได้รับความรู้เพิ่มเติมหลายอย่าง จากคำบอกเล่าของอาจารย์สุชาติ ซึ่งเป็นสื่อกลางติดต่อของหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) อาทิเช่น ประวัติของเกาะปีนังเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว และสิ่งสำคัญคือ ได้ทราบว่าบนเกาะนี้หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) ท่านเคยธุดงค์มา

เวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น. ก็ได้โดยสารรถลงมา ถึงครึ่งทางเป็นโรงเรียนจีนแห่งหนึ่ง เลี้ยวทางขวามือเป็นทางเดินเลียบเขา และทางเดินเลียบเขานี่เองเป็นที่ ที่หลวงปู่ทวดเคยเดินธุดงค์มาหาความวิเวก ณ สถานที่นี้ในอดีตกาล แต่แรกก็คิดว่าจะเอาดินบริเวณนี้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วปรากฏว่าไม่เอา จะเป็นด้วยเหตุผลใดผู้เขียนไม่ทราบ เพราะผู้เขียนยังเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร จากนั้นเราก็ได้ไปสนทนากับเจ้าของโรงเรียน ที่นั่นมีนักเรียนมาจากเมืองไทยประมาณ ๕๐ % ลูกจีนในไทยเหล่านี้มักจะเรียนหนังสือจีนต่อเป็นส่วนใหญ่

พอถึงเวลาอันสมควรจึงได้อำลากลับ แล้วจับแท็กซี่ไปดูตามวัดต่างๆ เช่น วัดไทยในปีนัง วัดเจ้าแม่งู ได้ทราบว่าบนกิ่งไม้เป็นที่อาศัยของงูซึ่งมีสี่เขี้ยว ผิดกับงูธรรมดาที่เคยเห็นในบ้านเรา เลยไม่ทราบว่าเป็นงูอะไร เที่ยวชมเมืองปีนังจนกระทั่งบ่ายโมง เราจึงกลับที่พัก เตรียมจัดสิ่งของต่างๆเพื่อเดินทางไป อีโปห์โดยจับแท็กซี่ข้ามฟากจากปีนังไปยังบัตเทอร์เวิร์ด

ผ่านด่านตรวจ

ที่ด่านตรวจคนเข้าออก ผู้โดยสารในรถทั้งหมดถูกตรวจอย่างถี่ถ้วน ผู้เขียนเองก็อยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน ศุลกากรเมืองนี้ดูจะเอาจริงเอาจัง ตรวจค้นตะพึดตะพือ มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เขียนแปลกใจ คือเหตุไฉนอาจารย์สุชาติจึงไม่ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจค้นดังเช่นผู้อื่น สงสัยว่าท่านคงจะมีของดี มีคาถานะจังงัง หรือคาถาภาพลวงตาอะไรทำนองนั้นก็ได้

ผู้เขียนเฝ้าสังเกตอาจารย์สุชาติตลอดเวลา โดยเฉพาะขณะที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะเข้ามาตรวจค้น ใบหน้าของท่านเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้น และสำเนียงพูดติดไปทางภาษาพื้นเมืองของทางภาคใต้ ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ลำพังอาจารย์สุชาติท่านคงไม่มีความรู้ทางตำนาน ประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวในอดีตได้ดีเช่นนี้เป็นแน่ ผู้เขียนเข้าใจว่าผู้ที่มาสนทนาด้วยนั้น คงจะเป็นหลวงปู่ทวด คือสมเด็จเจ้าพะโคะ มากกว่าจะเป็นตัวอาจารย์สุชาติเอง เพราะเรื่องที่สนทนาล้วนแต่เป็นเรื่องของหลวงปู่สมัยที่ท่านยังมีสังขาร เช่น ภูเขาลูกนี้ท่านเคยเสด็จไปโปรดสัตว์ หรือไม่ก็เคยไปจำวัดและเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ผู้เขียนก็ทำหน้าที่บันทึกทั้งเรื่องราวและภาพของสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องไว้ เพื่อเก็บทำประวัติในโอกาสต่อไป ทิวทัศน์ระหว่างไทปิงไปอีโปห์กับกัวลาลัมเปอร์สวยงามมาก

สุชาติ โกศลกิติวงศ์

 ภาพอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ถ่ายเมื่อไปอัญเชิญดิน ที่วัดโบราณ ประเทศมาเลเซีย

วัดโบราณที่อีโปห์

สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนแปลกใจนั้นก็คือ ผู้โดยสารแท็กซี่ที่มาด้วยกันแต่แรก ตั้งใจที่จะไปอีโปห์ ๑ คน ส่วนอีก ๒ คน จะไปกัวลาลัมเปอร์ ปรากฏว่าเมื่อถึงไทปิง ผู้โดยสารที่จะไปเมืองอีโปห์เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันขอลงที่ไทปิง คราวนี้ก็มีแต่เรา ๒ คนเท่านั้นที่จะไปอีโปห์ จึงทำให้เราได้มีโอกาสคุยกับคนขับรถ ผู้เขียนต้องใช้ภาษากวางตุ้งสนทนา จึงทำให้เข้าใจกันได้ และรู้เรื่องราวต่างๆ ของเมืองอีโปห์เป็นอย่างดี

เมื่อถึงเมืองอีโปห์ ในตอนแรกตั้งใจว่าจะไปหาที่พักผ่อนแต่เมื่อเห็นว่ายังไม่เย็นจนเกินไปจึงได้บอกคนขับรถให้พาไปชมสถานที่สำคัญๆทางศาสนา จุดแรกคนขับรถได้พาเราไปยังวัดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ซึ่งใครๆก็ต้องแวะวัดนี้ทุกครั้ง ด้วยสถานที่แห่งนี้มีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ประดิษฐานอยู่ ดังนั้นชาวพุทธทุกคนที่มีโอกาสผ่านมา ก็จะเข้าไปนมัสการพระพุทธรูป ซึ่งลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นี้เสมอๆ

รถแท็กซี่คันนั้นได้พาเราตระเวนชมสถานที่สำคัญต่างๆอีกหลายแห่ง จนกระทั่งถึงวัดโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใคร่มีคนไป ความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น รถที่พาเราทั้งสองเที่ยวชมเมืองอีโปห์เกิดพยศ เครื่องยนต์ไม่ยอมทำงานเฉยๆ คนขับรถได้พยายามแก้ไขอย่างสุดความสามารถก็ไร้ผล

ในที่สุดเราจึงตัดสินใจบอกโชเฟอร์ว่าจะเข้าไปชมในวัดโบราณแห่งนี้สักครู่ เพราะไม่อยากทนความอุดอู้ในรถ โชเฟอร์ก็ไม่ว่ากระไร เพียงแต่กำชับว่าอย่าไปนานก็แล้วกัน เพราะจะเสียเวลาการทำมาหากินของเขา เรารับคำและเดินทางเข้าไปในวัดแห่งนั้น ปล่อยโชเฟอร์ซ่อมเครื่องยนต์ที่ขัดข้องเพียงลำพัง

สถานที่ทิ้งสังขาร

ณ ที่แห่งนี้เองทำให้ผู้เขียนแปลกใจเป็นอันมาก เพราะในตอนแรกตั้งใจเพียงแต่ต้องการชมทัศนศึกษาเท่านั้น แต่เหตุไฉนจึงกลายเป็นว่าจะมาเอาดินในที่นี้ เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำก็เห็นบ่อน้ำ ซึ่งเต็มไปด้วยเต่ามากมาย มีขนาดต่างๆกัน ตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือถึงตัวเท่าฝาชีครอบขนาดใหญ่และที่ริมบ่อนี้เอง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเบื้องบนก็จะเห็นเป็นปล่องถ้ำ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ทราบภายหลังว่า เป็นที่ทิ้งสังขารของหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) จึงเป็นที่แน่ใจได้ว่าดินที่นี้จะต้องขลังอย่างแน่นอน เพราะเราสานุศิษย์ต่างก็เชื่อในบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ipoh01

ภาพแสดงปล่องถ้ำสถานที่ ทิ้งสังขารของหลวงปู่ทวด(ลูกศรชี้) 

รวมพลังจิตเคลื่อนดิน

วินาทีแห่งความสนใจก็เกิดขึ้น เนื่องจากว่าดินศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการอยู่บนเนินสูงคิดไม่ตกว่าจะทำกันอย่างไร อาจารย์สุชาติเดินไปเดินมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้เขียนแปลกใจไม่น้อย เพราะท่านพูดว่าจะเอาดินในโพรงนั้นให้ได้ แต่ไม่เห็นทำอะไรเอาแต่เดินไปเดินมาเท่านั้น จนผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะเอาดินจากบริเวณโพรง ซึ่งหลวงปู่ทวดทิ้งสังขารได้สำเร็จ

ผู้เขียนพยายามจะถามอาจารย์สุชาติ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย ผู้เขียนถึงกับถอนใจและพูดพึมพำกับตัวเองว่า การเดินทางมาอัญเชิญดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้คงล้มเหลวแน่ จนในที่สุดอาจารย์สุชาติ ได้ปีนขึ้นไปบนไหล่เนินดิน ทำท่าเหมือนจะขุดก็ปรากฏว่าดินจากโพรงเบื้องบนหล่นไหลลงมาอย่างง่ายดาย และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ผู้เขียนเข้าใจว่าหลวงปู่ท่านคงมาช่วยอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา สังเกตได้จากที่ผู้เขียนพยายามถามแต่ไม่ได้รับคำตอบจากท่าน แสดงว่าท่านอยู่ในระหว่างกำลังรวบรวมพลังจิตเคลื่อนดินลงมา เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์มากเรื่องหนึ่ง

เสร็จภารกิจ

เสร็จจากภารกิจเอาดินในประเทศมาเลเซียนี้แล้ว เราก็ได้เดินทางตระเวนหาที่พักในค่ำวันนั้น พอรุ่งเช้าจึงได้จับแท็กซี่กลับมายังสะเดา เราใช้เวลาเดินทางประมาณ ๖ ชั่วโมง เมื่อถึงผืนแผ่นดินไทย นายด่านได้ให้ความสะดวกนำส่งเราถึงที่พักที่หาดใหญ่และในวันรุ่งขึ้นเราเดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยเครื่องบิน