สมเด็จโต-ทำไมสังคมเมืองไทยจึงร้อนนัก

  • Print

สมเด็จโต

ทำไมสังคมเมืองไทยจึงร้อนนัก

อาจารย์เกหลง พานิช  :  หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมเดี๋ยวนี้บ้านเมืองไทยนี่ร้อนเหลือเกินเจ้าคะ ได้ยินแต่ข่าวสยอง จะมีทางผ่อนคลายได้ไหมเจ้าคะ

สมเด็จ  :  คือเรื่องมันร้อนอยู่ มันเป็นภาวะกรรมวิบากหลายๆ อย่างและโดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งก็คือว่า สังคมในยุคปัจจุบันนี้เป็นสังคมที่สักแต่ว่าเป็นพุทธสาวก

ถ้าท่านเป็นพุทธสาวกที่ดี ท่านจะต้องเดินตามพุทธพจน์ แต่สังคมทุกวันนี้ล้วนแต่ว่าข้านี้คือชาวพุทธ ล้วนแต่ตู่พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าให้กล้าสู้ความจริง ต้องทำจริง สังคมปัจจุบันนี้ไม่กล้าสู้ความจริง คือท่านกลัวอำนาจ ยกย่องคนชั่วเป็นใหญ่ ภาวะแห่งคนชั่วเขาใหญ่ได้เพราะสังคมยอมรับ ถ้าทุกคนในสังคมไม่กลัวอำนาจมนุษย์หมู่มากไม่กลัวอิทธิพลคนชั่วย่อมเด่นอยู่ในสังคมไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

หลักแห่งความจริงของโลกมนุษย์นั้นก็คือว่า ถ้าวัตถุเจริญมากจิตใจมนุษย์ย่อมเสื่อมมาก นี่คือกฎแห่งความจริงของธรรมชาติ ภาวะแห่งสังคมนั้นถ้าจะปรับปรุงก็คือว่า ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านต้องมีความจริงจัง มีความหยั่งรู้ศักดิ์ศรีของการเป็นครู ไม่ยอมเป็นเครื่องมือของคนชั่ว เป็นจุดที่หนึ่ง เขาเรียกว่าเมื่อพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ดีก็พิมพ์ถูกพิมพ์ได้ดี พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ไม่ดีลูกพิมพ์ก็ออกมาไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

การผ่าตัดสังคม

สมเด็จ  :  ภาวะแห่งสังคมในยุคนี้เป็นการที่จะต้องผ่าตัด ให้กล้าสู้กับความจริง เช่น สุรา ในศีล ๕ ห้ามไว้ เพราะเป็นสิ่งไม่ดี แต่สังคมยอมรับสุราเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ครูสอนศีลธรรมว่าสุราเมากินไม่ได้ แต่ครูเมาเป็นระยะๆ ได้ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ครูสอนเขาว่าอย่ากินเหล้า แต่ครูไปกินเหล้าที่ร้านกาแฟได้ แล้วใครจะเชื่อใคร

สิ่งเหล่านี้ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สิ่งใดที่ตถาคตจะสอนท่านนั้น ตถาคตจะต้องเรียนแล้วทำได้ ตถาคตจึงสอน

ฉะนั้น ในขณะนี้ศาสนาไม่รู้ว่าจะเรียกว่าศาสนาอะไร ถือเป็นเพียงปรัชญาอันหนึ่งที่ข้าเรียนไว้สำหรับเถียง สำหรับคุย จึงเป็นสิ่งที่จะต้องปรับปรุงขนาดหนัก แต่ว่าจะปรับปรุงไปได้หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับมนุษย์ที่จะร่วมมือกันช่วยมนุษย์ด้วยกัน อาตมานั้นพร้อมเสมอที่จะทำงานเพื่อมนุษย์ แต่อาตมาไม่มีขันธ์ ท่านมีขันธ์ ท่านมีขันธ์เดิน ถ้าท่านไม่เดิน อาตมาก็ย่อมทำอะไรไม่ได้ เพราะอาตมามีแต่วิญญาณมีแต่สมอง และสมองขรัวโตที่พิสดารไม่เหมือนใคร

ถ้าจะปรับปรุงสังคมให้เลิกร้อนนั้น ทุกคนจะต้องมีเมตตาต่อกัน ทุกคนจะต้องมีความสุจริตใจต่อกัน อย่าสวมหน้ากากเข้าหากันในสังคม ทุกคนต้องยอมรับหลักอริยธรรมที่ดี ทุกคนต้องกล้าพูดความจริงในสังคม ไม่ใช่ผู้มีอำนาจพูดอะไรเป็นถูกหมด การที่คนอัปรีย์พวกนี้เหลิง ก็เพราะท่านไปสนับสนุนเขาเองต่างหาก แล้วท่านจะไปโทษใครเล่า

การทำงานเพื่อส่วนรวม

สมเด็จ  :  อาตมาจึงบอกว่า ขรัวโตนี้ไม่กลัวมนุษย์หน้าไหนที่จะเอาอย่างไร เพราะว่าเราต้องยึดหลัก ๔ ประการ ที่อาตมาให้กับทุกคนที่จะทำงานเพื่อสังคม ก็คือว่า

๑. ท่านต้องมีขันติในงานที่ทำ

๒. ท่านต้องมีสัจจะต่องานที่จะทำ

๓. ท่านต้องมีความบริสุทธิ์ในงานที่ทำนั้น

๔. ท่านต้องมีความเมตตาต่อผู้ที่ร่วมทำงาน

ท่านมีหลัก ๔ ประการนี้แล้วไซร้ ท่านจะทำงานใหญ่ได้สำเร็จและการเป็นนักทำงานใหญ่ต้องถือปรัชญาว่า

ภูเขาสูง           ตระหง่าน      อยู่เหนือเมฆ

ไม่หวั่นไหว        ต่อลมฟ้า      คะนองลั่น

เป็นนักปราชญ์    ต้องไม่ติด     ในสรรเสริญ แลนินทา

อุดมการณ์        เพื่อคนอื่น     สัจจะ ต้องยึดมั่น

แล้วทำงานใหญ่ได้

แต่ทุกวันนี้หานักเสียสละ ที่ว่าคิดถึงเรื่องคนอื่นมากกว่าคิดถึงตัวเองนั้นน้อยเต็มทีในสังคมยุคปัจจุบัน แล้วก็นักสังคมสงเคราะห์ปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่จะเอาหน้า ไม่ใช่สงเคราะห์กันจริงจัง มันจึงวุ่น ล้วนแต่พวกทำงานเอาหน้าประจบสอพลอ แล้วมันไม่ร้อนตอนนี้เมื่อไหร่มันจะร้อนล่ะ ยิ่งพูดมากไป เดี๋ยวเทวดาเขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไรด่าคนทุกที

อาจารย์เกหลง  :  ที่หลวงพ่อเทศน์น่ะ ดิฉันเห็นด้วยทุกประการเจ้าค่ะ ที่หลวงพ่อว่าต้องครูดี ดิฉันก็นึกถึง คุณโกมล คีมทอง ที่ทำท่าจะเป็นครูดี แต่แกก็ถูกยิงตาย คุณโกมลได้มีโอกาสเข้าเฝ้าหลวงพ่อหรือเปล่าเจ้าคะ

สมเด็จ  :  ยัง เพราะถ้าอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว การจะพบอาตมาก็ยากเหมือนกัน อย่างมาที่นี่อาตมาก็ไม่มีเวลาให้ใครพบพิเศษหรอก เพราะขรัวโตไม่ใช่มาหากินกับมนุษย์ อาตมาอยู่พรหมโลก อาตมาเป็นครูที่จะต้องสอนพวกพรหม พรหมโลกชั้นที่ ๔ มีศาลาฟังธรรม ศาลาฟังธรรมนี้แหล่ เป็นที่เตรียมของพวกผู้ที่จะไปเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าไปเป็นพรหมสุทธาวาสก็ดี ไปเป็นพระอริยบุคคลก็ดี ต้องศึกษาในศาลาฟังธรรม และอาตมาก็ได้รับเลือกเป็นครูคนหนึ่ง สอนอยู่ในที่นั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเทวดา พวกพรหมที่ยังติดอยู่ในกิเลสมาก ยังอยากจะเสวยอาหารของมนุษย์แล้วไซร้ ก็ย่อมที่จะไม่ได้พบอาตมามาก นอกจากอาตมาจะไปพบเขาเอง แต่อาตมาหมู่นี้ชอบไปเที่ยวยมโลก ไปคุยกับนโปเลียน พวกนี้ เพื่อไปศึกษานโยบายการทำงานที่พวกเขาสมัยเป็นผู้นำทำกันอย่างไร เพราะว่าขณะนี้อาตมากำลังทำงานใหญ่ เพื่อที่จะกู้ความอยู่รอดของสยาม จึงจำเป็นต้องศึกษากุศโลบาย นโยบาย เพโทบายของพวกนี้ที่เคยครองโลกมาแล้ว

ฉะนั้น อาตมาจึงว่า อยู่โลกวิญญาณเวลานี้จึงได้เปรียบอยู่หน่อย แต่นรกขุมลึกๆ เขาไม่ให้เข้าไป เขาบอกว่า ขรัวโตมาทีไร เอาไปเปิดเผยในโลกมนุษย์หมด

เทศน์เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔

จากหนังสือ โต พรหมรังษี สงสารสัตว์โลกเกหลง พานิช รวบรวม